วันเสาร์ที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2561

รำลึกถึงผู้กล้าครบ 1 ปี ขอสดุดีวีรชน



ส.ต.ต.ราชพฤกษ์ อาแว ถูกโจรใต้ซุ่มโจมตีจนเสียชีวิตขณะปฏิบัติหน้าที่
เมื่อวันที่ 29 มี.ค.59
อีก 1 ชีวิตที่เสียสละเพื่อประโยชน์ส่วนรวม
เพื่อปกป้องแผ่นดินถิ่นเกิด
ขอบคุณจากใจแทนคนไทยทุกคน


ส.ต.ต.ราชพฤกษ์ อาแว เกิดเมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม 2538 เป็นบุตรคนสุดท้องในจำนวน 6 คน ของนายมะดาโอะ อาแว และนางแมะยะ อาแว เข้ารับการบรรจุเป็นข้าราชการตำรวจเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2558 ขณะอายุ 20 ปี ที่สถานีตำรวจภูธรจะแนะ จังหวัดนราธิวาส


ส.ต.ต.ราชพฤกษ์ อาแว เสียชีวิตขณะปฏิบัติหน้าที่ จากเหตุคนร้ายซุ่มยิงบนถนนในหมู่บ้านเมาะสาวา หมู่ 4 ต.บองอ อ.ระแงะ จ.นราธิวาส เมื่อวันที่ 29 มี.ค.59 พิธีฝังศพ ส.ต.ต.ราชพฤกษ์ อาแว ตร.จะแนะ ที่ถูกซุ่มโจมตีจนเสียชีวิตขณะปฏิบัติหน้าที่ จัดขึ้นเมื่อวันที่ 30 มี.ค.59 ที่กุโบร์บ้านโคกติมุง ม.1 ต.ปูโยะ อ.สุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส พ.ต.อ.จักรพร แท่นทอง รองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดนราธิวาส เป็นประธานในพิธีฝังศพ โดยมี พ.อ.จิรสิทธิ์ จันทรมี รองผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจจังหวัดนราธิวาส นายสุรัตน์ ลายจันทร์ ปลัดอาวุโสอำเภอสุไหงโก-ลก พ.ต.อ.ประยุทธ พงค์สันติ ผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรมูโนะ ผู้นำศาสนา เพื่อนข้าราชการตำรวจ และประชาชนในพื้นที่ร่วมพิธีเพื่อแสดงความไว้อาลัยเป็นครั้งสุดท้าย







ด.ต.รุสลาม อาแว ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจสถานีตำรวจภูธรมูโนะ ผู้เป็นพี่ชายกล่าวว่า น้องชายเป็นคนเรียบร้อย มีความกตัญญูต่อพ่อแม่ และมีความใฝ่ฝันตั้งแต่วัยเด็กว่าอยากเป็นตำรวจ จึงพยายามตั้งใจเรียนและขวนขวายหาความรู้เพื่อสานฝันของตัวเอง จนประสบความสำเร็จเมื่อสอบเข้าตำรวจและถูกเรียกบรรจุเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2558 และในระหว่างนี้ได้เตรียมตัวที่จะสมัครเข้าสอบเป็นนายร้อยด้วย



วันแรกของการได้สวมเครื่องแบบชุดตำรวจของน้องชาย เป็นวันที่สร้างความภาคภูมิใจให้กับครอบครัวมาก เพราะน้องชายเป็นบุตรชายคนสุดท้อง ที่เป็นศูนย์รวมของความรักของครอบครัว พ่อแม่ยิ้มอย่างมีความสุขไปพร้อมกับพี่ๆทุกคน ซึ่งตลอดช่วงเวลาของการปฏิบัติหน้าที่แม้จะอยู่ในพื้นที่เสี่ยง แต่น้องก็ทุ่มเททำงานอย่างเต็มที่ด้วยใจรักและอุดมการณ์ที่มุ่งมั่นว่าจะช่วยแก้ปัญหาสถานการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ จนเป็นที่รักของผู้บังคับบัญชาและเพื่อนร่วมงาน


น้องชายพูดเสมอว่า ไม่รู้ว่าจะเกิดเหตุร้ายกับตนเองขึ้นมาวันใด แต่ขอให้ครอบครัวสบายใจว่าจะดูแลตัวเองและระมัดระวังให้มากที่สุด ซึ่งหากเกิดอะไรขึ้นกับตน ก็ขอให้ครอบครัวเข้าใจและยอมรับกับเหตุที่เกิดขึ้นว่า เป็นการเสียสละชีวิตในหน้าที่ตำรวจ ที่เป็นความภาคภูมิใจของตนเอง

การพบกันครั้งสุดท้ายคือเมื่อวันที่ 26 มี.ค.59 น้องชายกลับมาที่บ้านพร้อมถุงยาสมุนไพรจากเห็ดป่าของชนเผ่าซาไกในพื้นที่ เพื่อให้พ่อแม่ได้ต้มดื่มรักษาโรคหอบหืดของพ่อและโรคเบาหวานของแม่ ซึ่งจากนี้ไปพี่ๆทุกคนจะดูแลพ่อแม่อย่างใกล้ชิดมากขึ้นเพราะท่านยังทำใจไม่ได้กับความสูญเสียที่เกิดขึ้น



จะต้องสูญเสียอีกกี่ชีวิตถึงจะพอใจ “เอกราชจอมปลอม” ไม่มีวันเป็นจริงได้หรอก
หยุดสร้างบาปให้ตนเองสักที 

วันพุธที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2561

ปกป้องสิทธิโจรผิดตรงไหน??



สิทธิมนุษยชน (Human Right)  หมายถึง สิทธิที่มนุษย์ทุกคนมีความเท่าเทียมกัน มีศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ สิทธิ เสรีภาพ และความเสมอภาคของบุคคลที่ได้รับการรับรอง ทั้งความคิดและการกระทำที่ไม่มีการล่วงละเมิดได้ โดยได้รับการ คุ้มครองตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และสนธิสัญญาระหว่างประเทศ  

   สิทธิมนุษยชนจึงเป็นของทุกๆคนไม่ใช่ของคนใดคนหนึ่งหรือพวกใดพวกหนึ่ง และยิ่งสังคมไทยที่โดยพื้นฐานแล้วเป็นสังคมต่างเชื้อชาติ ศาสนา เผ่าพันธุ์ การจะทำให้สามารถดำรงชีวิตอยู่ร่วมกันอย่างสันติจนกลมกลืนเป็นหนึ่งเดียวในความเป็นไทยโดยไม่มีการแตกแยกนั้น การคือการยอมรับความหลากหลาย มีจิตใจเอื้อเฟื้อเกื้อกูลกันและไม่ละเมิดสิทธิมนุษยชนของผู้อื่น แต่โจรใต้ก็ได้กระทำมาตลอดเป็นระยะเวลาหลาย10ปี โดยเฉพาะเรื่องการแบ่งแยกชาติพันธุ์และศาสนา ในรูปแบบต่างๆทั้งรูปธรรมโดยการทำลายล้างความสงบสุข การก่อเหตุรุนแรงและสะเทือนขวัญ  หรือแม้กระทั่งในเรื่องนามธรรมโดยการปลุกระดม บิดเบือนความจริง สร้างความเกลียดชังและแตกแยกในสังคมไทย        

จริงอยู่ที่เป็นหน้าที่ของรัฐซึ่งจะต้องเข้ามาจัดการดูแลปัญหานี้ แต่เหล่าบรรดา NGO ที่ได้รับรายได้จากภาษีของพี่น้องประชาชนคนไทยทั้งชาติและได้รับจากองค์กรต่างประเทศ โดยเฉพาะ AMNESTY Thailand องค์กรที่ช่วยรัฐทำหน้าที่ตรงนี้ ให้เหตุการณ์รุนแรงได้สงบลง แต่กลับไม่เลย AMNESTY Thailand เลือกปฏิบัติในลักษณะมุ่งเอื้อประโยชน์ต่อกลุ่มคนเพียงกลุ่มหนึ่งและเลือกมองข้ามสิทธิมนุษยชนของคนส่วนใหญ่ในสังคมไทย โดยการเน้นช่วยเหลือเหล่าโจรใต้ที่เป็นตัวการและต้นตอในการละเมิดสิทธิมนุษยชนนั้นเอง

อาจเพราะเป็น พวกเดียวกันหรือ AMNESTY Thailand จะถูกใช้เป็นเครื่องมือโดยผู้ที่ไม่หวังดีต่อประเทศไทยหรือไม่ ถึงทำให้การทำงานขององค์กรนี้ส่วนใหญ่ดูจะเป็นการเอื้อประโยชน์ต่อโจรใต้ทั้งนั้น ยกตัวอย่างง่ายที่สุด เมื่อมีเหตุการณ์เกี่ยวกับการเสียประโยชน์ของโจรใต้ทั้งการโดนดำเนินคดี การกล่าวหารัฐในเรื่องการซ้อมทรมานนักโทษ หรือการที่จนท.ทหารเข้าไปตรวจสอบโรงเรียนสอนศาสนาในพื้นที่สามจังหวัดภาคใต้ AMNESTY Thailand ก็มักจะออกแถลงการณ์ตอบโต้รัฐในแทบจะทันทีทันใดและดำเนินการเป็นเรื่องเร่งด่วน แต่เมื่อเกิดเหตุรุนแรงและสะเทือนขวัญโดยโจรใต้เช่นการวางระเบิดและลอบยิงที่นำมาซึ่งความสูญเสียของผู้บริสุทธิ์ ก็กลับนิ่งเป็นเป่าสาก ไม่มีแม้แต่คำพูดหรือการดำเนินการใดๆขององค์กรนี้เลย การบกพร่องในการทำงานขององค์กรนี้ จะเป็นด้วยเหตุผลทั้งโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ไม่อาจรู้ได้ แต่สิ่งที่ชัดเจนคือภาครัฐควรจะเข้าไปตรวจสอบการทำงานขององค์กรเหล่านี้ว่าคุ้มค่ากับเงินภาษีของพี่น้องประชาชนคนไทยทั้งชาติที่จ่ายไปให้องค์กรนี้หรือไม่ เพราะอาจจะเจอกับการโกงกินครั้งใหญ่ของวงการ NGO ในไทยหรือองค์กรเหล่านี้คือแหล่งฟอกเงินรัฐเพื่อนำไปเป็นทุนในการช่วยเหลือโจรใต้ในการละเมิดสิทธิมนุษยชนผู้อื่นก็เป็นได้

วันจันทร์ที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2561

แถลงการณ์ของ "มารา ปาตานี"


แถลงการณ์ของ "มารา ปาตานี" เผยแพร่เมื่อวันศุกร์ที่ 23 มี.ค.61 และมีการนัดสื่อมวลชนไทยบางแขนงไปรายงานข่าว รวมทั้งสัมภาษณ์พิเศษ คาดว่าเป็นที่ประเทศมาเลเซีย
          นายสุกรี ฮารี ตัวเเทนกลุ่มบีอาร์เอ็นที่ร่วมในคณะพูดคุย และเป็นหัวหน้าคณะพูดคุยเพื่อสันติสุขฝ่ายมาราปาตานี ได้อ่านเเถลงการณ์ท่าทีของ "มารา ปาตานี" ต่อกระบวนการพูดคุยสันติสุข สรุปเป็นประเด็นๆ ได้ว่า
          1.ความก้าวหน้าและสิ่งที่จะดำเนินการอันสืบเนื่องจากกระบวนการพูดคุยนั้น ยังไม่ใช่ข้อยุติ เพราะเป็นเพียงการพูดคุยในระดับ “คณะทำงานเทคนิค” ยังไม่ได้ผ่านความเห็นชอบของคณะพูดคุยชุดใหญ่ของไทย
          2.มารา ปาตานี พร้อมเปิดรับฟังความคิดเห็นของคนในพื้นที่เกี่ยวกับ "สิทธิ์ในการกำหนดใจตนเอง" หรือ Right to Self Determination (RSD)
          3.มารา ปาตานี เชื่อมั่นในกระบวนการพูดคุยเพื่อสันติสุขฯ โดยคณะพูดคุยที่ได้รับความเห็นชอบจากนายกรัฐมนตรี ซึ่งจะพัฒนาเป็น "วาระแห่งชาติ" แต่รู้สึกกังวลกับการทำงานของกองทัพภาคที่ 4 ที่ส่งผลต่อบรรยากาศและสวนทางกับการทำงานของคณะพูดคุยเพื่อสันติสุขฯทั้งสองฝ่าย
          4.มารา ปาตานี เน้นว่า โครงการพาคนกลับบ้าน และการกำหนดพื้นที่ปลอดภัย 14 อำเภอของแม่ทัพภาคที่ 4 ไม่เกี่ยวข้องกับการตกลงของคณะพูดคุยเพื่อสันติสุขฯ
 ขอนำคำกล่าวของอาจารย์พันธุ์พิพิธ พิพิธพันธุ์ อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ ม.อ.ปัตตานี ที่ได้กล่าวไว้ว่า เครื่องมือนั้นมีเพียงแค่ RSD หรือนำไปสู่เอกราชเพียงเท่านั้นหรือ? แล้วเครื่องมือ RSD แท้จริงแล้วมีใครรับประกันได้บ้างว่าจะนำสู่สิ่งที่เราคาดหวังได้อย่างแท้จริง ในเมื่อจุดเริ่มต้นของเรื่องนี้ จุดเริ่มต้นของคนบางคนที่เรียกร้องสิ่งนี้เขาเริ่มต้นมันด้วย “การใช้กำลังและความรุนแรงโดยไม่เลือกฝ่าย”
 ในเมื่อกลุ่มขบวนการคือคือจุดเริ่มต้นของการใช้กำลังและความรุนแรง ยังมีหน้ามาเรียกร้อง"สิทธิ์ในการกำหนดใจตนเอง" หรือ Right to Self Determination (RSD) อยู่อีกหรือ!! ตลอดระยะเวลาสิบกว่าปีที่ผ่านมาเป็นผู้ทำลาย นิยมความรุนแรง ไม่ต้องการสันติภาพ และเคยประกาศกร้าว “จะไม่หยุดยิงจนกว่ารัฐบาลไทยเจรจาสันติภาพ 2 ฝ่ายเท่านั้น” การปฏิบัติการทางทหารของเราไม่ใช่จุดหมายหมายทาง แต่มันคือ วิถีทางสู่เป้าหมาย น่าอนารถใจแทนพี่น้องประชาชนในพื้นที่ วิถีทางสู่เป้าหมายของกลุ่มขบวนการคือซากศพของประชาชนผู้บริสุทธิ์ นี่หรือที่ประกาศว่ากระทำการทุกอย่างเพื่อพี่น้องประชาชนปาตานี ที่แท้ทำเพื่อตัวเองและองค์กร

วันพุธที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2561

นี่หรือคือ “สันติภาพ” ที่มึงเรียกร้อง


พวกเขามีสิทธิ์ทวงคืนสันติภาพบ้างได้ไหม
"
ฮิดัลโก"
          ต้นเหตุแห่งปัญหาคือ “สันติภาพ” อย่างนั้นใช่หรือไม่ ซึ่งต่างก็เรียกร้องสันติภาพ แต่ผู้บริสุทธิ์ก็ยังตกตายตามกันไปไม่รู้กี่ชีวิตต่อชีวิต อีกฝ่ายปกป้อง อีกฝ่ายมุ่งทำลายแล้วตะโกนก้องว่า “สันติภาพของกูอยู่ไหน” ทั้งๆ ที่ในมือยังถือตัวจุดระเบิด และพร้อมจุดทุกเมื่อหากต้องการคำว่าสันติภาพ จริงๆแล้ว “สันติภาพ” ของพวกเขาคือสิ่งใดกันแน่
        จากเหตุการณ์ที่เลวร้ายในแต่ละวัน ผู้คนมากมายที่ต้องสังเวยชีวิต ครั้งแล้วครั้งเล่า ผู้คนต่างพากันเศร้าโศกเสียใจกับการจากไปของเพื่อน พี่น้อง พ่อแม่ ลูกเมีย หรือคนในครอบครัวที่รัก แต่ยังมีคนกลุ่มหนึ่งที่เรียกตนเองว่า “นักเคลื่อนไหว นักสิทธิ” แล้วนั่งนิ่งดูผู้คนล้มตายอย่างไม่ใยดีได้อย่างไร ทั้งยังหาประโยชน์จากคนตายด้วยการไปชูป้ายเรียกร้องสันติภาพจากคู่สงคราม ซึ่งพยายามชี้เป้าให้โลกได้เห็นว่า รัฐบาลไทยทำให้เกิดสงครามในพื้นที่นี้ เพื่อทำให้ทั้งโลกเห็นว่าที่นี่เกิดสงครามขึ้นจริง และจะขอแบ่งแยกดินแดนไปปกครองตนเอง มันถูกต้องแล้วหรือที่ทำร้าย ทำลายชีวิตประชาชนผู้บริสุทธิ์ เพียงเพื่อสันติภาพของคนกลุ่มหนึ่ง
        หาก 1 ในผู้เสียชีวิตคือคนในครอบครัวของคุณ คุณจะทำอย่างไร คุณจะเรียกร้องอะไรนอกจากคำว่า “อย่าลืมเยียวยานะ” แค่นั้นหรือที่ต้องการ คุณบอกกล่าวกับผู้คนว่า คุณต้องการสันติภาพ คุณต้องการให้ต่างชาติเข้ามาช่วย คุณจะให้เขามาช่วยเรื่องอะไร ในเมื่อพวกพ้องโจรของคุณเป็นผู้ลงมือ “ฆ่าผู้บริสุทธิ์” พวกคุณตั้งองค์กรต่างๆ ขึ้นมาตามใจชอบ แล้วปิดบังการกระทำอันสุดโต่งของพวกพ้องตนเอง ใช้กฎหมู่อยู่เหนือกฎหมาย ยุยงปลุกปั่นใช้วาจาโอหัง “กูไม่กลัวกฎหมาย” หากมีพวกพ้องโดนจับกุม ก็พากันออกมาเรียกร้องสิทธิมนุษยชน กล่าวหาเจ้าหน้าที่รัฐว่าละเมิดสิทธิส่วนบุคคล (แล้วทีพวกมึงไปละเมิดชีวิตคนทั้งคนทำไมไมคิดบ้างว่ะ)

        ที่สุดแล้วสิ่งที่มึงเรียกร้องคงไม่ใช่ “สันติภาพ” หากแต่เป็น “เอกราชจอมปลอม” 
ที่คนบงการเพียงแค่ต้องการผลประโยชน์ในพื้นที่เท่านั้น ใครๆ ก็รู้ดีว่าดินแดนสามจังหวัดแห่งนี้ มีทรัพยากรธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ มีแหล่งท่องเที่ยวมากมาย หนำซ้ำยังติดกับชายแดนมาเลย์ ที่ซึ่งมีช่องทางเข้าออกมากมาย เพื่อขนของหนีภาษี ของเถื่อน รวมทั้งยาเสพติดที่บ่อนทำลายประเทศชาติ เจ้านายมึงอยู่สุขสบายที่ต่างแดน แต่ดูพวกมึงสิลำบากแค่ไหน บ้างก็ติดคุก บ้างก็ตาย สงสารพ่อแม่ สงสารลูกเมีย คิดให้ดีเถิดว่ายังอยาก “เป็นคนไทยหรือเปล่า” อยู่ที่ไหนก็ไม่สุขใจเท่าประเทศไทย

วันจันทร์ที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2561

การบังคับใช้กฎหมาย ภายใต้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย



การนำเจ้าหน้าที่ฝ่ายทหารที่บรรจุใน กอ.รมน.ภาค 4 สน. มาปฏิบัติหน้าที่รักษาความสงบเรียบร้อยหรือการบังคับใช้กฎหมายนั้น มีกฎหมายรองรับให้กระทำได้ ตามที่บัญญัติในมาตรา 56 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 บัญญัติสรุปได้ว่า รัฐต้องจัดให้มีกำลังทหารเพื่อพิทักษ์ไว้ซึ่งความมั่นคงของรัฐและความสงบเรียบร้อยของประชาชน และมาตรา 8 กับมาตรา 36 แห่งพระราชบัญญัติจัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม พ.ศ. 2551 กำหนดสรุปได้ว่าให้กระทรวงกลาโหมมีอำนาจหน้าที่พิทักษ์รักษาความมั่นคงแห่งราชอาณาจักรจากภัยคุกคามทั้งภายนอกและภายในราชอาณาจักร  ตลอดจนปฏิบัติการอื่นที่เป็นการปฏิบัติการทางทหารนอกเหนือจากสงครามเพื่อความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร และป้องกัน ระงับ หรือปราบปรามการกระทำความผิดที่เป็นภัยต่อความมั่นคงของรัฐซึ่งจำเป็นต้องใช้กำลังทหารระงับเหตุการณ์ร้ายแรงโดยเร็ว

นอกจากนั้นในการรักษาความสงบเรียบร้อยของประเทศหรือการทำหน้าที่บังคับใช้กฎหมาย พนักงานเจ้าหน้าที่ไม่ว่าจะเป็นตำรวจหรือทหารสามารถเข้าไปได้ในทุกสถานที่เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยหรือทำหน้าที่บังคับใช้กฎหมาย เช่น แหล่งชุมชน โรงพยาบาล โรงเรียน หรือสถานที่สำคัญทางศาสนาหรือศิลปวัฒนธรรม เป็นต้น ไม่มีข้อจำกัดดังเช่นในกรณีการรบหรือการสงครามภายใต้หลักกฎหมายสงครามหรือกฎหมายว่าด้วยการขัดกันด้วยอาวุธระหว่างประเทศ ที่ผู้ทำการรบที่เรียกว่าพลรบ (Combatant) จะต้องหลีกเลี่ยงไม่เข้าไปในหรือใช้ประโยชน์ทางทหารจากสถานที่ดังกล่าว  และการที่เจ้าหน้าที่ฝ่ายทหารซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงสามารถมาปฏิบัติหน้าที่บังคับใช้กฎหมายได้นั้น ก็เป็นไปตามประมวลระเบียบการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ที่มีอำนาจหน้าที่บังคับใช้กฎหมาย (Code of Conduct for Law Enforcement Officials 1979) ซึ่งถือได้ว่าเป็นหลักสากลที่องค์การสหประชาชาติได้จัดทำขึ้น กำหนดว่า "เจ้าหน้าที่ที่มีอำนาจหน้าที่บังคับใช้กฎหมาย" หมายรวมถึงเจ้าหน้าที่ตามกฎหมายทุกประเภท ไม่ว่าจะมาจากการแต่งตั้งหรือเลือกตั้ง ซึ่งใช้อำนาจหน้าที่อย่างตำรวจโดยเฉพาะการจับกุมหรือควบคุมตัว  ในประเทศที่ทหารสามารถใช้อำนาจหน้าที่อย่างตำรวจหรือโดยกองกำลังรักษาความมั่นคงของรัฐ ความหมายของเจ้าหน้าที่ที่มีอำนาจหน้าที่บังคับใช้กฎหมายรวมถึงเจ้าหน้าที่ดังกล่าวด้วย

พลเอก กฤษณะ บวรรัตนารักษ์
ที่ปรึกษาพิเศษ สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม

หากโจรใต้มีอุดมการณ์สักครึ่งหนึ่งของพวก ISIS ก็น่าจะเรียกว่า “นักรบ”ได้



กองทัพฟิลิปปินส์สังหารกลุ่มเครือข่าย ISIS 
ทั้งเสียชีวิตและบาดเจ็บราว 70 คน

กองทัพฟิลิปปินส์ปิดล้อมโจมตีด้วยปืนใหญ่และกำลังสนับสนุนทางอากาศต่อที่มั่นของกลุ่มเครือข่ายก่อการร้าย ISIS ที่หมู่บ้านชื่อ Datu Saudi Ampatuan ที่ตั้งอยู่ทางทิศใต้ของจังหวัด Maguindanao
ช่วงแรกของการโจมตีเกิดขึ้นในเช้าของวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา เป็นกลุ่มติดอาวุธอิสลามบังซาโมโร (BIFF-Bangsamoro Islamic Freedom Fighters)กำลังราว 50 คน
วันต่อมา จึงเป็นกองกำลังติดอาวุธเครือข่าย ISIS กลุ่มต่างๆ รวมถึงกลุ่มอบูไซยยาฟและกลุ่มนักรบเมาเต้ มีกำลังราว 300 คน
BIFF เสียชีวิตและบาดเจ็บรวมราว70 ทางกองทัพฟิลิปปินส์ "แทบไม่มีความสูญเสีย"
ประชาชนพลัดบ้านเรือนราว 500 ครอบครัว
โดยทางกองทัพฟิลิปปินส์กล่าวว่าจะยังคงปราบปรามกองกำลังติดอาวุธของกลุ่มก่อการร้ายต่างๆที่ยังมีกำลังราว 200 คนต่อไป
สมาชิก BIFF ส่วนใหญ่ไม่พอใจที่กลุ่มแนวร่วมปลดปล่อยอิสลามโมโร ( MILF-Moro National Liberation Front) ทำสัญญาสันติภาพกับฝ่ายรัฐบาล และยังยืนหยัดในความจงรักภักดีต่อ ISIS ต่อไป
กองทัพฟิลิปปินส์เปิดเผยอีกว่า กลุ่มติดอาวุธกลุ่มต่างๆยังคงรณรงค์จัดการฟื้นฟูกลุ่มของตน ด้วยการสรรหาสมาชิกใหม่ๆ จัดฝึกอาวุธ ตระเตรียมสำหรับการโจมตียึดครองเมืองอื่นๆต่อไป เช่นเดียวกับที่เคยยึดครองเมืองมาราวีเมื่อหลายเดือนก่อน

อยากให้ จนท.รัฐ จัดการกับพวกก่อเหตุรุนแรงใน จชต. เหมือนกับที่ฟิลิปปินส์
แต่อย่างว่าแหละพวกโจรที่ จชต. เขาไม่ได้เรียกว่า "นักรบ" เขาเรียกว่าหมาลอบกัด แต่งตัวคล้ายผู้หญิงไปยิงชาวบ้าน มันจะเป็นนักรบได้อย่างไร #ออเจ้า


วันพฤหัสบดีที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2561

อาชญากรใต้ ฆ่า!! ชรบ.เก่า




เมื่อวันที่ 8 มี.ค.61 เวลาประมาณ 2105 กลุ่มอาชญากรใต้ใช้อาวุธปืนยังไม่ทราบชนิดและขนาดยิง นายมะลีกี ลาเตะ อายุ 27 ปี ที่อยู่ 97/1 ม.5 ต.กาตอง อ.ยะหา จว.ยะลา (ชรบ.) ขณะปฏิบัติหน้าที่เวรรักษาความปลอดภัยอยู่หลังบ้าน ผญบ. ม.5 ต.กาตอง อ.ยะหา จว.ยะลา ได้รับบาดเจ็บ ถูกนำตัวส่ง รพ.สมเด็จพระยุพราชยะหาและเสียชีวิตในเวลาต่อมา เพราะทนพิษบาดแผลไม่ไหว

นายมะลีกี ลาเตะ เคยเป็น ชรบ. แต่ต่อมาไปเป็นยาม รปภ. อยู่ กทม.
เพิ่งกลับมาบ้านใน จ.ยะลา เพื่อมาทำบัตรได้แค่ 2 วัน ก็เกิดเหตุดังกล่าว

จนท.คาด เป็นฝีมือของกลุ่มอาชญากรใต้ในพื้นที่ ที่ต้องการ
ทำร้าย อส. ชรบ. ชคต. เพื่อลดขวัญและกำลังใจ ดั่งที่มีใบปลิวข่มขู่ จนท.อส. ที่ผ่านมา

เหตุเกิดบริเวณ พื้นที่ ม.5 ต.กาตอง อ.ยะหา จว.ยะลา

พื้นที่รับผิดชอบ สภ.ยะหา จว.ยะลา   โทร. 073-291-329
รอง สว.(สอบสวน)ร.ต.อ.นุกุล เทพรัตน์โทร.087-294-109-2
ศูนย์วิทยุและเฝ้าฟัง ศปก.ตร.สน.      โทร. 073-203-690-1

#ในใบปลิวขู่ อส. คือพวกขบวนการมันไม่อยากให้มุสลิมได้ทำงาน คงอยากให้เข้าร่วมกับกลุ่มขบวนการกระมัง เพราะที่ผ่านมามีสมาชิกหลายคนขอเข้าโครงการพาคนกลับบ้าน ทำให้สมาชิกเหลือน้อยเต็มที และเด็กๆที่กำลังบ่มเพาะก็ยังไม่สามารถใช้งานได้ จึงใช้วิธีขู่ อส. ชรบ. ที่เป็นมุสลิมด้วยกัน

ปิดล้อมตรวจค้นพื้นที่ อ.ปะนาเระ จ.ปัตตานี พบยาเสพติด อื้อ!!




เมื่อวันที่ ๗ มีนาคม ๒๕๖๑ นายอำเภอปะนาเระ, ปลัดอำเภอรับผิดชอบงานยาเสพติด และชุดปฏิบัติการพิเศษอำเภอปะนาเระที่ ๓ ลงพื้นที่ปิดล้อมตรวจค้นยาเสพติดพื้นที่ ม.๔ ต.พ่อมิ่ง อ.ปะนาเระ จ.ปัตตานี พบของกลางและผู้กระทำความผิดจำนวน ๕ ราย
          ๑. นาย กีฟลี  มะแด  อายุ ๒๗ ปี หมายเลขบัตรประจำตัวประชาชน
๑-๙๔๐๔-๐๐๐๖๓-๕๗-๓ อยู่บ้านเลขที่ ๒/๑ ม.๔  ต.พ่อมิ่ง อ.ปะนาเระ จว.ปัตตานี พร้อมด้วยของกลาง
 ๑. เมทแอมเฟตามีน(ยาบ้า) จำนวน ๓๑ เม็ด น้ำหนักรวมประมาณ ๓.๓๗  กรัม
 ๒.น้ำต้มพืชกระท่อม รวมน้ำหนัก ๑๒ กิโลกรัม
 ๓.ใบพืชกระท่อมสดน้ำหนักประมาณ ๓๘๐ กรัม
 ๔.หม้ออลูมิเนียมเบอร์ ๔๕ ใช้สำหรับต้มน้ำต้มพืชกระท่อม จำนวน ๑ ใบ
 ๕.ที่ขูดใบพืชกระท่อมก่อนจะทำการต้ม จำนวน ๑ อัน
 ๖.ที่กรองแบบพลาสติกใช้สำหรับกรองกากพืชกระท่อม จำนวน ๑ อัน
 ๗.ถุงพลาสติกแบบมีหูหิ้ว จำนวน ๑ ห่อ
 ๘.ยาแก้ไอยี่ห้อ เอนาดริล ขนาด ๖๐ มิลลิลิตรจำนวน ๖ ขวด
 ๙.ธนบัตรไทยและ เหรียญ รวมเป็นเงินจำนวน ๑๒,๐๖๖ บาท
 ๑๐.โทรศัพท์มือถือยี่ห้อลาวาสีดำจำนวน ๑ เครื่อง
 ๑๑.ใบยืนยันผลการตรวจสารเสพติดจากโรงพยาบาลปะนาเระจำนวน ๑ใบ

จึงได้ควบคุมตัวส่ง สภ.ปะนาเระ เพื่อดำเนินตามกฎหมายต่อไป และตรวจพบผู้เสพยาเสพติด จึงควบคุมตัวส่งศูนย์คัดกรอง อ.ปะนาเระ ตามคำสั่ง คสช. ๑๐๘/๕๗ จำนวน ๔ รายดังนี้
        ๑.นายฟันดี มะแด หมายเลขบัตรประจำตัวประชาชน ๑-๙๔๐๔-๐๐๑๑๖-๑๑-๑ ที่อยู่ ๒/๑ ม.๔ ต.พ่อมิ่ง อ.ปะนาเระ จ.ปัตตานี
        ๒.ด.ช.มูฮำหมัด วามะ หมายเลขบัตรประจำตัวประชาชน ๑-๙๔๙๒-๐๐๐๐๘-๙๗-๖ ที่อยู่ ๙๗ ม.๓ ต.พ่อมิ่ง อ.ปะนาเระ จ.ปัตตานี
        ๓.นายอัซฟาร์ นิอารียา หมายเลขบัตรประจำตัวประชาชน ๑-๙๔๐๔-๐๐๑๒๑-๖๘-๗ ที่อยู่ ๗๒ ม.๓ ต.พ่อมิ่ง อ.ปะนาเระ จ.ปัตตานี
        ๔.นายมาซูวัน เจ๊ะเต๊ะ หมายเลขบัตรประจำตัวประชาชน ๑-๙๔๐๔-๐๐๐๗๘-๙๑-๑ ที่อยู่ ๔๕/๑ ม.๓ ต.พ่อมิ่ง อ.ปะนาเระ จ.ปัตตานี

เรื่องจริงที่โรงเรียนบากงพิทยา




เขาตอบโต้รัฐแทบจะทันที !!
หลังดำเนินคดีโรงเรียนสอนศาสนาหนุนแบ่งแยกดินแดน !!
กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ดำเนินการตามกฎหมายต่อผู้บริหารโรงเรียนบากงพิทยา หลังพบเอกสารและอุปกรณ์ก่อเหตุร้าย ประกอบด้วย
1.หนังสือประวัติศาสตร์และการต่อสู้ของรัฐปัตตานี
2.เอกสารแนวทางต่อต้านรัฐ
3.เอกสารบิดเบือนข้อเท็จจริงกล่าวหาในเรื่องที่ศาลมีคำสั่งยึดที่ดินของโรงเรียนญีฮาดวิทยาให้ตกเป็นทรัพย์สินของแผ่นดิน

นอกจากนี้ตรวจพบ ถังแก๊ส ,ถังดับเพลิง ,ปุ๋ยยูเรีย และเครื่องมือขุดเจาะหลุมระเบิดใต้ถนนหลายรายการ พบการทุจริตการใช้เงินในการบริหารโรงเรียน และพบว่ามีการเอื้อประโยชน์การก่อเหตุความรุนแรงในพื้นที่และให้แหล่งพักพิง



การทุตจริตที่ตรวจพบ
1.) แจ้งบัญชีเท็จยอดครู 121 คน จำนวนจริงในระบบมีเพียง 74 คน แต่เบิกจ่ายเงินอุดหนุนจากกระทรวง ศธ. 121 คน แจ้งเท็จ 47 คน สมมติคนละ 15, 000 บาท/ครู 1 คน/เดือน
รัฐเสียหาย 47×15,000 = 705,000 บาท/เดือน

2.)จัดทำบัญชีเท็จเบิกค่าเสียงภัย 3,500/คน/เดือน
รัฐเสียหาย 47×3,500 = 164,500 บาท/เดือน

3.) โรงเรียนสิ้นสภาพมูลนิธิ แต่ยังทำเอกสารปลอมเบิกเงินอุดหนุนจากภาครัฐอยู่

4.) จัดจ้างครูไม่ผ่านระบบตามหลักเกณฑ์ที่รัฐกำหนด(โดยไม่จบคุรุศาสตร์ ไม่มีใบประกอบวิชาชีพ)

5.) ทำบัญชีนักเรียนเท็จ ยอดนักเรียนมากกว่ายอดที่มีเรียนจริงเพื่อขอรับเงินอุดหนุนจากภาครัฐ(รายชื่อนักเรียนผี)

เขาอ้างว่าถูก จนท.รัฐ คุกคามในโรงเรียน
แต่หลักฐานยังคาปากอยู่เลย ยังกินกันสนุกเลยทีเดียว
ยังจะมีหน้ามาบอกว่าถูกคุกคามอีกหรอ

วันพุธที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2561

หมูป่าป่วนพิธีละหมาด-ขวิดคนเจ็บ มาเลย์ฯไล่จับวุ่น สุดท้ายยิงตายนอกมัสยิด



เมื่อวันที่ 7 มี.ค. เว็บไซต์ อัสโทรอวานี่ และ เบอร์ริต้าฮาริอัน รายงานว่า เกิดเหตุหมูป่าเดินพลัดหลงเข้ามาในมัสยิดแห่งหนึ่งในเมืองสุไหง ปุโลง ในรัฐสลังงอร์ ของประเทศมาเลเซีย ระหว่างที่ชาวมาเลย์กำลังประกอบศาสนากิจกันอยู่ จนมีผู้ได้รับบาดเจ็บจากที่หมูป่าเอาหัวพุ่งชนชายคนหนึ่งขณะกำลังไล่มันออกไปจากมัสยิด จนท้ายที่สุดหมูป่าตัวดังกล่าวถูกชาวบ้านในละแวกนั้นยิงจนเสียชีวิตบริเวณด้านนอกของมัสยิด


เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นช่วงเวลาประมาณ 20.00 น. ซึ่งเป็นเวลาที่ผู้นับถือศาสนาอิสลามกำลังทำการละหมาดอิชา หรือ ละหมาดช่วงกลางคืน โดยชาวบ้านที่เข้าร่วมละหมาดใช้เวลากว่าครึ่งชั่วโมงในการไล่หมูป่าออกจากมัสยิด จนมีผู้ที่เข้ามาประกอบพิธีละหมาดคนหนึ่งได้รับบาดเจ็บหนึ่งคน นอกจากนี้ยังมีการเรียกเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้ามาในพื้นที่ จนท้ายที่สุดมีชาวบ้านในละแวกดังกล่าวคนหนึ่งยิงหมูป่าตัวที่พลัดหลงเข้าจนตาย



วันรุ่งขึ้นทางชาวบ้านในชุมชน รวมไปถึงเจ้าหน้าที่ดับเพลิงได้เข้ามาช่วยกันทำความสะอาด ไม่ใช่แค่เฉพาะบริเวณจุดเกิดเหตุ แต่ช่วยกันทำความสะอาดทั้งมัสยิด ทั้งซักพรมในมัสยิด พร้อมกับนำไปตาก และใช้น้ำล้างจุดที่หมูป่าถูกยิง ทั้งนี้จำนวนหมูป่าเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะพื้นที่ใกล้กับสวนปาล์มน้ำมัน และมักมีเหตุการณ์ลักษณะเช่นนี้เกิดบ่อยครั้งในชุมชนที่อยู่ใกล้กับสวนปาล์ม
Cr.ข่าวสด


ชมคลิปหมูป่าถูกยิง




มะรอโซ สุนัขที่ถูกกำหนดชะตา




สุดท้ายผู้ร้ายก็ต้องตาย
เพราะคนบงการวางแผนไว้เรียบร้อยแล้ว
เป็นได้เพียงหมากตัวหนึ่งเท่านั้นสำหรับมะรอโซ

เหตุการณ์โจรใต้บุกฐานทหารที่ อ.บาเจาะ จ.นราธิวาส
แล้วเสียชีวิต 16 ราย หนึ่งในนั้นคือมะรอโซ จันทราวดี
สามีของรุสนี สามีคนดีของครอบครัว
เพราะเขาบอกเธอว่าเขาไม่ได้ทำผิดอะไร
ตลอดเจ็ดปีที่อยู่ด้วยกัน
มะรอโซก็ทำหน้าที่ของตัวเองต่อครอบครัวดีที่สุด
เธอภูมิใจกับสามีอย่างมาก
และการเสียชีวิตครั้งนี้เธอไม่เสียใจเลย
มีคนถามว่า นายมะรอโซทำเพื่ออะไร?
เธอตอบว่า ก็รู้ๆ กันอยู่แล้ว

ตามหลักฐานทางวิทยาศาสตร์
พิสูจน์ได้ว่า ปืน AK47 ที่มะรอโซใช้ก่อเหตุมาอย่างโชกโชน
ในพื้นที่ 5 อำเภอของปัตตานี
โดยเป็นการก่อเหตุ 35 คดี ตั้งแต่ ปี 4856 รวม 8 ปี
ก่อนเสียชีวิตกับพวกนั้น
มีหลักฐานว่ายิงครูชลธี พ่อพิมพ์ของชาติ
เสียชีวิต เมื่อ 13 กพ. 56
นั่นแสดงให้เห็นว่า
มะรอโซไม่ใช่เหยื่อของผู้ถูกกระทำจากภาครัฐ
แต่เขาน่าจะเป็นผู้กระทำซึ่งหากเขายังอยู่
เขาจะทำให้ผู้บริสุทธิ์สูญเสียอีกมาก

แต่อย่างไรก็ตาม หลังการเสียชีวิตของมะรอโซ
เรื่องของเขาได้ถูกบิดเบือนให้กลายเป็นเสมือนวีรบุรุษ
ด้วยเหตุที่เขารอดชีวิตจากเหตุการณ์ตากใบ
แล้วมีทัศนคติไม่ดีกับภาครัฐ
แล้วกลายเป็นหัวหน้าโจรใต้ไปในที่สุด และตอนนี้
รุสนีกำลังสร้างกลุ่มเครือข่ายสตรีชื่อว่า “Wanita Patani”
เพื่อทำงานเกี่ยวกับการช่วยเยียวยา และเยี่ยมเยียน
ครอบครัวผู้ได้รับผลกระทบ

อย่างไรก็ตาม หวังว่าเธอจะให้คำแนะนำที่ดีๆ กับคนเหล่านั้นว่า แม้เหตุการณ์ตากใบจะทำให้โกรธแค้นภาครัฐ
แต่ในบางสถานการณ์ จนท.รัฐก็ถูกกดดันจากมวลชน
และมีทางเลือกไม่มาก ดังนั้นไม่ควรแก้แค้นภาครัฐ
ด้วยการกระทำกับผู้บริสุทธิ์
แต่ควรใช้ชีวิตอย่างสงบเพื่อวันหนึ่งทุกสิ่งจะดีกว่านี้
เพื่อไม่ให้มีชะตาชีวิตเหมือนมะรอโซ สามีของเธอ

คนพวกนี้ชอบปลุกระดม นิยมความรุนแรง



เหตุการณ์ตากใบเป็นเหตุการณ์ที่ไม่ควรเกิดขึ้นอย่างยิ่ง
เจ้าหน้าที่และประชาชนต่างติดกับดักที่ถูกวางไว้แล้ว
จากกลุ่มแนวรวมขบวนการแบ่งแยกดินแดนสุดชั่ว
มันแฝงเข้ามาในกลุ่มผู้ชุมนุมแล้วก็ยั่วยุผู้ร่วมชุมนุม
ด้วยการโห่ร้องตะโกนก้อง อย่าไปยอม” “ฆ่ามันเลย
อย่าไปกลัวพวกมัน” “จงศรัทธาในพระเจ้าและอีกมากมาย
เพื่อให้เกิดแรงกระตุ้น เกิดความฮึกเหิมที่จะต่อสู้
สร้างความก้าวร้าวให้เกิดในใจกลุ่มผู้ชุมนุม
จนกระทั้งเกิดการปะทะ
สุดท้ายเมื่อสัมฤทธิ์ผลอย่างที่หวัง ชาวบ้านติดกับดัก
พวกมันก็ค่อยๆ หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย
ปล่อยให้ชาวบ้านลุกขึ้นต่อสู้กับเจ้าหน้าที่
ทั้งๆ ที่ก็ไม่รู้ว่าต่อสู้เพื่ออะไร เพื่อใคร
เจ้าหน้าที่ก็ติดกับหลงกล ต้องสลายการชุมนุม
ก็ต้องปะทะกับชาวบ้านที่ตกเป็นเหยื่อของขบวนการ
เจ้าหน้าที่ก็ตาย ชาวบ้านก็ตาย ขบวนการปลอดภัย
ผลที่ได้คือภาพการกระทำที่รุนแรงของเจ้าหน้าที่
ซึ่งสิ่งเหล่านี้ถูกกำหนดไว้แล้ว ไม่ใช่พระเจ้า
แต่เป็นพวกชั่วที่คิดจะแบ่งแยกดินแดน
โดยใช้ชาวบ้านเป็นเครื่องมือและโล่กำบัง

และสุดท้ายก็เห็นจะเป็นม็อบต้านโรงไฟฟ้าเทพา
ซึ่งก็เป็นอย่างที่คิดไว้ ไม่มีผิดแน่วร่วมขบวนการแฝงตัวเข้าไป
ทำทีว่าเห็นใจ เข้าไปช่วยเหลือ สุดท้ายก็ใช้วิธีเดิม
ยั่วยุ ส่งเสริมให้เกิดความรุนแรง แต่ไม่สำเร็จ
เจ้าหน้าที่เตรียมรับมืออย่างดี เพราะมีบทเรียนมาแล้ว
ม็อบประท้วง ม็อบต้าน ก็ต้องมีปกติอยู่แล้ว
อาจจะเพื่อปกป้องชุมชน หรือกลัวเกิดมลพิษ
หรืออาจจะทำเพื่อนายทุน ผู้มีอิทธิพลเถื่อนเสียประโยชน์
ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็แล้วแต่

หากเกิดการชุมนุมประท้วงอะไรก็ตามในพื้นที่นี้
มันจะต้องมีแนวร่วมเข้ามาแฝงอยู่ในกลุ่ม
เพื่อทำให้ชาวบ้านเกลียดชังเจ้าหน้าที่รัฐให้มากที่สุด
แยกชาวบ้านออกมาจากรัฐบาล
เพื่อการปลุกระดมแยกแผ่นดินตามที่วางแผนไว้
ให้เป็นอีก 1 ประเทศอิสลามในแผนที่โลก
ที่อ้างว่ามีภาษา มีอัตลักษณ์เป็นของตนเอง
มีวัฒนธรรม มีประเพณีเป็นของตนเอง

แต่คงไม่ง่ายขนาดนั้น
เพราะเชื่อว่าคนไทยทุกคน คงไม่ยอมเป็นแน่
คงไม่ปล่อยให้ไอ้พวกชั่วนี้เอาแผ่นดินไปได้
คงจะมีเพียงคนบางกลุ่มเท่านั้น
ที่เห็นด้วยกับการแบ่งแยกดินแดน
ก็คือพวกนักวิชาการโจรที่รับจ้างโจรแบ่งแยกดินแดน
เขียนข่าว ยั่วยุ โจมตีประเทศไทย
โดยใช้ภาษาไทยแท้ๆ เขียนขึ้นมา
พวกมึงก็คนไทยแท้ๆ กลับมาทำร้ายประเทศไทยทำไม

#รอดูต่อไปว่าพวกมันจะมีแผนอะไร
#รอดูต่อไปว่ามันวางกับดักไว้ตรงไหน
#เหยื่อรายต่อไปคือใคร
#หมอสุภัทร #ดิเรก #แบมุส
#หรือใครที่ถูกพวกมันกำหนดไว้แล้ว
#ระวังจะถูกหลอกจากคำยุยง
#สันติสุขจงบังเกิดแด่ประเทศไทย