วันจันทร์ที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2562

เป็น “ซ่องโจร” รึไง ถึงกลัวทหารตำรวจ กี่โรงแล้วที่โดนจับได้ ตั้งแต่สมัยปอเนาะญิฮาด




เริ่มจากปอเนาะญิฮาดก่อนเลยแล้วกัน ปอเนาะญิฮาดถูกปิดลง เพราะถูกจับได้ว่าเป็นแหล่งซ่องสุมกำลัง และเป็นแหล่งฝึกฝนของกองกำลัง RKK โดยมีอดีตครูใหญ่อย่างนายดูนเลาะ แวมะนอ และนายอิสมะแอ มะเซ็ง ครูฝึก RKK พร้อมพวก ซึ่งเป็นตัวการใหญ่ภายในปอเนาะแห่งนี้ จนท.ตรวจพบหลักฐานมากมายที่มีความเชื่อมโยงกับกลุ่มขบวนการ BRN จึงออกหมายจับบุคคลทั้งสอง ซึ่งนายอิสมะแอ มะเซ็ง ได้ให้การยอมรับว่า “เป็นครูฝึกคอมมานโดที่ปอเนาะญิฮาดจริง” ระหว่างปี 2539-2548 ตามคำสั่งของ นายดูนเลาะ แวมะนอ ซึ่งเป็นครูใหญ่ปอเนาะญิฮาดในขณะนั้น รวมระยะเวลา 9 ปี จนกระทั่งเกิดเหตุการณ์ปล้นปืนค่ายปิเหล็ง ซึ่งเป็นผลผลิตของปอเนาะญิฮาดทั้งสิ้น หากจะนับ RKK ที่ผ่านการฝึกคอมมานโดจาก นายอิสมะแอ มีไม่ต่ำกว่า 500 คน ที่เพ่นพ่านอาละวาดออกไปไล่ฆ่าประชาชนผู้บริสุทธิ์ ทั้งชาวไทยพุทธมุสลิมต้องตกเป็นเหยื่อ ส่วนนายดูนเลาะ แวมะนอ เมื่อทราบว่าโดนพรรคพวกซัดทอด ก็ได้หลบหนีการจับกุมออกนอกประเทศ หลังจากนั้นเป็นต้นมา จนท. ได้ทำการเข้าตรวจสอบโรงเรียนปอเนาะ ตาดีกา โรงเรียนเอกชนสอนศาสนา ในพื้นที่ 3 จชต.

กระบวนการทางด้านความคิดของเยาวชนในพื้นที่สามจังหวัด มักถูกบิดเบือนด้วยคำสอน คำปลูกฝังที่ผิดๆ มาโดยตลอด นั่นเพราะเป็นฝีมือการกระทำที่แยบยลของกลุ่มขบวนการแบ่งแยกดินแดน โดยส่งแกนนำที่มีความรู้เกี่ยวกับหลักศาสนา ทำทีเข้ามาสอนศาสนาแก่นักเรียน เยาวชน ไทยมุสลิมในพื้นที่ แต่แอบบิดเบือนหลักคำสอน บิดเบือนประวัติศาสตร์ เช่น
สอนว่า “ฆ่าคนแล้วได้บุญ แล้วถ้ายิ่งฆ่าในเดือนรอมฎอนแล้วยิ่งจะได้บุญ”
สอนว่า “ที่นี่เป็นประเทศมุสลิมของเรา สีแย (สยาม ไทย) คือผู้รุกราน คือพวกขโมยของคนอื่น ถ้าฆ่าคนไทยที่รุกรานเราได้ จะได้บุญมาก”
สอนว่า “ให้ถมน้ำลายเมื่อเจอคนไทยพุทธ มันจะคลายบาปให้เรา ถ้าเราไม่ทำเท่ากับว่าเรายอมรับเขาเป็นเพื่อน เราจะเป็นบาป”

อาบู แกนนำระดับอุดมการณ์ เปิดใจหลังเข้ามอบตัวต่อ จนท.
เขากล่าวว่า “ผมสอนในตาดีกาแห่งหนึ่ง ผมก็สอนเด็กในเชิงจิตวิทยา ผมซื้อแอปเปิ้ลไปให้เด็กๆ ลูกสวยๆ รสชาตอร่อย วันที่สองก็ซื้อไปให้เหมือนเดิม วันที่สาม ผมซื้อลูกเน่าๆ ไปให้ รสชาตไม่อร่อยเหมือนสองวันแรก เด็กๆ ถามว่า ทำไมวันนี้ไม่อร่อยเลย มีแต่ลูกเสียๆ ผมเลยตอบไปว่า เมื่อกี้โดน จนท.สีแย (ไทย) จับ เขาเอาไปเกือบหมด เหลือมาแค่นี้ พวกสีแยขี้ขโมย เราต้องไล่มันออกไปจากบ้านเรา แค่นี้เด็กก็เริ่มระแวง จนท.รัฐ แล้ว และตอนเด็กๆ ผมก็ถูกสอนมาว่า ถ้าเจอคนไทยพุทธให้ถมน้ำลาย เราจะได้คลายบาป ถ้าไม่ทำ เท่ากับว่าเรายอมให้เขาเป็นเพื่อนเรา พอผมโตมาก็ได้รู้ว่า คำสอนนั้นเป็นเพียงจิตวิทยา ในการแยกมุสลิมออกจากไทยพุทธ เพื่อการแบ่งแยกดินแดน ในแต่ละวันก็จะเล่าเรื่องประวัติศาสตร์ที่เขียนขึ้นมาใหม่ ให้เด็กเชื่อว่าที่นี่คือบ้านของเรา แผ่นดินของเรา ถูกสีแยขโมยไป แล้วเด็กก็จะเกิดการเกลียดชังคนไทยพุทธและ จนท.รัฐ เอง”

ทั้งหมดนี้คือคำสารภาพจากสมาชิกแนวร่วมที่ยอมมอบตัว

คงไม่ต้องมาร้องหาหลักฐาน ที่มา ของข้อมูลนะครับ (ดักควายก่อนเดี๋ยวมีมาดิ้นอีก) เพราะมันคือคำสารภาพของโจรที่ยอมมอบตัว

ล่าสุด สมาคมสมาพันธ์โรงเรียนเอกชนภาคใต้ ตั้งโต๊ะแถลงการณ์ไล่ พล.ต.จตุพร กลัมพสุต รองแม่ทัพภาคที่ 4 ออกนอกพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยอ้างว่าใช้อำนาจที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายและละเมิดสิทธิมนุษยชนโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามซ้ำซาก พร้อมทั้งประกาศฟ้องร้องดำเนินคดีทางแพ่งและอาญาต่อช่อง 7 และบุคคลต่างๆ ที่นำข้อมูลอันเป็นเท็จสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ทั้งยังอ้างว่าเป็นปัจจัยเอื้อทำให้ปัญหาไฟใต้ลุกลามต่อไปและกระทบกระบวนการพูดคุยสันติภาพ (พอจับได้ก็ออกมาแถกันใหญ่ ที่ออกมาไล่เขาเพราะกลัวไม่มีแหล่งบ่มเพาะรึไง)
อย่างไรก็ตาม พล.ต.จตุพร กลัมพสุต เป็นคนสำคัญที่สั่งให้ จนท. เข้าตรวจสอบโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาต้องสงสัยหลายแห่ง และสามารถตรวจพบหลักฐานต่างๆ มากมายที่มีความเชื่อมโยงกับกลุ่มขบวนการ โดยก่อนหน้านี้โรงเรียนเอกชนสอนศาสนาบางแห่ง มักต่อต้าน หรือไม่ยอมให้ จนท.เข้าตรวจสอบ และก็มีหลายแห่งเช่นกันที่ยินยอมให้ จนท.รัฐ เข้าตรวจสอบ อย่างบริสุทธิ์ใจ
ถ้าไม่ทำความผิดจะกลัวอะไร
ขอเป็นกำลังใจให้เจ้าหน้าที่ใน 3 จชต. ที่ทำงานเพื่อประชาชนและแผ่นดินไทย