วันจันทร์ที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2561

ขบวนการแบ่งแยกดินแดนหวังผลอะไรจาก RSD และ Armed Conflict


ขบวนการแบ่งแยกดินแดนหวังผลอะไรจาก Right to Self Determination และ Armed Conflict โดยมีกลุ่มนักศึกษา PerMAS ที่เป็นแนวร่วม เคลื่อนไหวทางการเมืองให้ขบวนการ

ทุกการเคลื่อนไหว ทุกก้าวย่างของปีกการเมืองขบวนการย่อมมีนัย และย่อมหวังผลให้เกิดขึ้นไม่วันนี้ก็วันหน้า ไฉน!! ด้วยเหตุผลกลใดคนกลุ่มนี้ถึงคิดการใหญ่มองไกลไปถึงการแบ่งแยกดินแดนเพื่อเป็นเอกราช ก่อกำเนิดประเทศใหม่ขึ้นมาบนแผนที่โลก...
เพราะความทะเยอทะยานกระมัง!! หรือเป็นเพราะสันดานของมนุษย์กลุ่มคนที่เลี้ยงไม่เชื่อง กินบนเรือนขี้รดหลังคา ไม่เคยสำนึกบุญคุณแผ่นดินเกิด ตอนเชื้อไฟใต้ปะทุครั้งแรกกลุ่มคนเหล่านี้อายุเท่าไหร่กัน...บางคนยังเป็นเด็กน้อยอยู่เลย มาวันนี้กลับเหิมเกริมคิดการใหญ่
เพราะ...เป็นแบบนี้ ผู้เขียนอยากจะแชร์พฤติกรรมเลวของคนส่วนน้อยที่อาศัยสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ จชต. อยากให้คนในชาติได้รู้เท่าทันเล่ห์เหลี่ยมกลอุบายของความกระหายอยากแยกตัวเป็นเอกราชจนตัวสั่น แต่พี่น้องร่วมชาตินี่แหละ!! จะเป็นพลังเมื่อเรารู้เท่าทันจะพาชาติรอด เมื่อรู้แล้วขอได้โปรดเผื่อแผ่ไปยังเพื่อนๆ ให้รับรู้เหมือนที่เรารู้ อย่าเก็บไว้อ่านคนเดียว รู้อยู่คนเดียว ไร้ประโยชน์มิเกิดผลใดๆ และที่สำคัญอย่าให้คนใดคนหนึ่งต้องต่อสู้อยู่อย่างโดดเดี่ยวและลำพัง
หากท่านสู้ร่วมกันแชร์ไปเถอะเพื่อท่านจะได้มีเพื่อนร่วมต่อสู้ ท่านจะไม่โดดเดี่ยวอีกต่อไป ถ้าไม่ใส่ใจอะไรก็ชั่ง ไม่ใช่เรื่องหรือปัญหาของกู สักวันหนึ่งเราจะไม่มีแม้แต่ผืนแผ่นดินที่จะอยู่....
โปรดสังเกตพฤติกรรมหรือสันดานของกลุ่มนักศึกษาที่ชื่อว่า PerMAS ที่เคลื่อนไหวในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ มักหยิบยกคำว่า Self Determination มาเรียกร้องให้รัฐบาลไทยยินยอมให้ใช้สิทธินี้ ซึ่งน่าแปลกใจที่กลุ่มนักศึกษา PerMAS รู้ซึ่งถึงความหมายหรือแกล้งไม่รู้ แต่กลับพูดไม่หมด พยายามหยิบยกกฎบัติสหประชาชาติเพียงบางข้อมาทำการเคลื่อนไหว
ความพยายามในการสื่อสารไปยังองค์กรระหว่างประเทศของกลุ่มโจร มีการกล่าวหารัฐสร้างเงื่อนไข เพียงเพื่อให้เข้าเงื่อนไขเสมือนหนึ่งเป็นการบ่อนทำลายชาติถึงขั้นกบฏต่อแผ่นดิน
ดังนั้นขอเอาความรู้เรื่องนี้มาให้พี่น้องชาวไทยได้รับรู้บ้างเพราะการรู้เท่าทันคือทางรอดของแผ่นดิน
• Year book (รายงานประจำปี) ค.ศ.2013 ของต่างประเทศ บอกว่าสามจังหวัดชายแดนภาคใต้เข้าข่ายเป็น Armed Conflict (ความขัดแย้งที่มีการใช้อาวุธ)
รัฐบาลไทยบอกสถานการณ์ในพื้นที่ชายแดนใต้เป็นปัญหาภายในไม่เข้าข่าย Armed Confrict (ความขัดแย้งที่มีการใช้อาวุธ)
ที่ผ่านมากาชาดสากลก็พยายามเข้ามาขอตั้งสำนักงานถาวรในพื้นที่ โดยอ้างว่าเป็น Armed Conflict แต่เราบอกว่า ไม่ใช่!! จึงเข้ามาตั้งสำนักงานถาวรไม่ได้ เข้ามาได้แค่เป็นครั้งคราว
ถ้ายอมให้กาชาดสากลเข้ามาตั้งสำนักงานถาวร ใครจะรู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ? (ในความเป็นจริง ขณะนี้เข้ามาตั้งแล้ว แบบขอชั่วคราวแต่ไม่ยอมกลับ) (เงินทุนมหาศาล)

แต่ถ้าหากขับเคลื่อนการบริหาร 3 จชต.เข้าสู่การกำหนดนโยบายของตนเอง (Right to Self Determination) ใครจะรับรองว่าไม่มีความขัดแย้งขึ้นอีก? ในที่สุดรัฐบาลต้องรัฐบาลต้องแก้ไขปัญหาด้วยการปราบปราม เช่น ทุกวันนี้
อำนาจที่เติมเต็มให้กับการกำหนดนโยบายของตนเอง ปัตตานีย่อมมีสิทธิที่จะอ้างการปราบปรามความไม่สงบของรัฐบาลนั้นเป็น Armed Conflict (การต่อสู้ทางอาวุธเช่นทุกวันนี้) และก็เป็นสิทธิที่จะโหวตให้ UN. ส่งกำลังเข้ามาได้เช่นกัน
ในการพูดคุยกับ BRN.จะได้ยินคำกล่าวหาที่ BRN.ยัดเยียดให้ไทยว่าเป็น สยามนักล่าอาณานิคม
การที่เรียกไทยว่า สยามนักล่าอาณานิคมเป็น ภาษาประดิษฐ์ที่ประดิษฐ์มาใช้เพื่อเป็นองค์ประกอบในการอ้างต่อ UN. ในการกำหนดเจตน์จำนงของตัวเอง และก้าวไปสู่แยกตัวเองไปเป็นประเทศอิสระต่อไป
**เรียนรู้กฎหมายระหว่างประเทศว่าด้วยการขัดกันทางอาวุธ [Armed Conflict]
ส่วนที่ 1 การให้คำนิยามทางกฎหมายของการขัดกันทางอาวุธ และ ปัญหาในการจำแนกประเภทของการขัดแย้งกันในรูปแบบใหม่
การสู้รบตามมาตรา 1 แห่งพิธีสารเพิ่มเติมฉบับที่ 1 แม้เกิดขึ้นภายในประเทศ
การรับเอาพิธีสารเพิ่มเติม 1977 ฉบับที่ 1 โดยข้อบทนี้ได้ขยายขอบเขตและประเภทของความขัดแย้งให้ถือว่าเป็นลักษณะหนึ่งของการขัดกันทางอาวุธที่มีลักษณะระหว่างประเทศ ซึ่งหากเป็นการสู้รบตามความหมายของมาตรา 1 แห่งพิธีสารเพิ่มเติม 1977 ฉบับที่ 1 ที่ถือว่าเป็นการการขัดกันทางอาวุธที่มีลักษณะระหว่างประเทศนั้น แม้ว่าการสู้รบดังกล่าวจะเกิดขึ้นภายในอาณาเขตของดินแดนในประเทศเดียวกันก็ตาม
พิธีสารเพิ่มเติม 1977 ฉบับที่ 1 มาตรา 1 (4) บัญญัติว่า
 สถานการณ์ที่อ้างถือในวรรคก่อนนั้นรวมถึงกรณีพิพาททางอาวุธ (Arm Conflict=ผู้เรียบเรียง) ซึ่งประชาชนต่อสู้กับการปกครองแบบอาณานิคม และการยึดครองของต่างชาติ และระบอบการเหยียดผิว เพื่อการใช้สิทธิการกำหนดใจของตนเองทั้งหลายตามที่บัญญัติไว้ในกฎบัตรสหประชาชาติ และปฏิญญาว่าด้วยหลักกฎหมายระหว่างประเทศเกี่ยวกับความสัมพันธ์ฉันท์มิตร และ ความร่วมมือระหว่างรัฐต่างๆตามกฎบัตรสหประชาชาติ

ดังนั้น การสู้รบที่มีลักษณะใดลักษณะหนึ่งตามข้อบทข้างต้น ถือว่าเป็นการขัดกันทางอาวุธที่มีลักษณะระหว่างประเทศโดยจะต้องเป็นการสู้รบดังกล่าวนั้น จะต้องมีวัตถุประสงค์ดังต่อไปนี้
 1) เพื่อปลดปล่อยตัวเองจากการเป็นอาณานิคม (Colonial domination)
 2) เพื่อต่อต้านการยึดครองหรือการปกครองจากชาวต่างชาติ (Alien Occouation)
 3) เพื่อกำหนดเจตน์จำนงของตัวเอง (Self-determine)
 4) ต่อสู้เพื่อเชื้อชาติ เช่นการต่อสู้ต่อการเหยียดผิว (against racist regimes)
 ซึ่งหากเป็นการสู้รบที่มีวัตถุประสงค์ตามที่ได้กล่าวมาข้างต้น ถึงแม้ว่าจะเกิดขึ้นในประเทศเดียวกันก็ตาม ตามพิธีสารเพิ่มเติม ฉบับที่ 1 ถือว่าเป็นการสู้รบระหว่างประเทศตามความหมายของกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ ซึ่งถือเป็นการขัดกันทางอาวุธมีลักษณะระหว่างประเทศด้วย
ดังนั้น
 1. ข้อหา สยามนักล่าอาณานิคมที่ไทยถูกยัดเยียดให้โดยแกนนำกลุ่มขบวนการแบ่งแยกดินแดน
 2. การขอตัดสินใจในอนาคตของตนเอง (Self Determination) โดยภาพที่บริสุทธิ์ของกลุ่มนักศึกษา PerMAS เป็นผู้เรียกร้อง (ฉากหน้า)
เมื่อได้แล้วอาจจะสงบอยู่ระยะหนึ่ง (และจะมีการสู้รบกันอย่างมากในต่อไป)
 3. ความขัดแย้ง หรือ การสู้รบทางอาวุธ (Arm Conflict) ที่รอวันอุบัติขึ้นหลังจากได้ Self Determination เป็นเรื่องไม่ยากที่จะเกิด
 เมื่อถึงพร้อมใจ 3 ข้อ เป็นที่ประจักษ์ นั่นคือการแยกตัวออกจากไทยมีสหประชาชาติเข้ามาเป็นคนกลางจัดการให้ โดยอาศัยความไร้เดียงสาของกลุ่มนักศึกษา PerMAS เป็นตัวแสดงแทน
ถึงอย่างนี้แล้ว เราจะปล่อยให้มีการขับเคลื่อน แนวความคิดกำหนดใจตนเอง หรือ RSD ได้อีกหรือ ตาสว่างกันเสียทีว่าเรากำลังถูกขบวนการแบ่งแยกดินแดน กัดกินทรัพยากรอันมีค่าของเราไป นั่นคือนักเรียน นักศึกษา เพราะกลุ่มขบวนการใช้วิธีปลูกฝังเด็กนักเรียนตั้งแต่ตาดีกาจนถึงระดับมหาลัย จริงๆแล้วก็ไม่ทุกคน ไม่ใช่ทุกโรงเรียน แต่เป็นกลุ่มก้อนหนึ่งที่สามารถกระจาย และถ่ายทอดแนวความคิดไปได้อย่างแพร่หลาย จากรุ่นพี่สู่รุ่นน้อง จากภายในสู่ภายนอก และทำลายชาติจากภายนอกสู่ภายใน

วันอาทิตย์ที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2561

catch me if you can จับให้ได้ ถ้านายแน่จริง


อารีฟิน โซ๊ะ ท้าทาย จนท.ฝ่ายความมั่นคง
ท้าให้มาจับไปดำเนินคดีได้เลย หากมีความสามารถพอ
หนำซ้ำยังนั่งรับประทานกุ้งเผาอย่างเอร็ดอร่อย
เยาะเย้ย จนท. ที่ไม่สามารถทำอะไรตนได้
เพราะที่ผ่านมาตนนั้นเสวนามาหลายเวที เกี่ยวกับการกำหนดใจตนเอง
เพื่อแบ่งแยกดินแดน 3 จชต. ไปเป็นประเทศใหม่
ตามแผนบันได 7 ขั้น ที่ผู้นำโจรของเราได้กำหนดไว้ก่อนตาย
แต่ตนเองก็ยังไม่เคยถูกดำเนินคดีแต่อย่างใด

นักกิจกรรมและนักเคลื่อนไหวทางการเมืองฝ่ายขบวนการ
มีความพยายามยกมติของสหประชาชาติขึ้นมาแบ่งแยกดินแดน
มติของสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติที่ 1514 (XV) ลงวันที่ 14 ธันวาคม 1960 เรื่อง "การให้เอกราชแก่ดินแดนอาณานิคม" (Declaration on the Granting of Independence to Colonial Countries and Peoples) โดยมีข้อความที่กำหนดไว้ใน มาตรา 1.1 ของมติที่ 1514 กล่าวว่า "กลุ่มชนทั้งปวงมีสิทธิในการกำหนดใจตนเอง โดยสิทธิดังกล่าวพวกเขามีเสรีภาพในการตัดสินใจในสถานะทางการเมือง และดำเนินการพัฒนาทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรมของตนเองได้อย่างเสรี"

ผลของมติที่ 1514 นี้ ทำให้การดำเนินการปลดปล่อยอาณานิคมประสบความสำเร็จ อาณานิคมทั้งหมดต่างได้รับอิสรภาพและได้รับเอกราช จนทำให้หลักการในเรื่องนี้เป็นที่ยอมรับกันทั่วไป แต่ต่อมาสิทธิในการกำหนดใจตนเองได้ถูกนำไปใช้ในกรณีอื่นๆ ที่ไม่ใช่การให้เอกราชแก่ดินแดนอาณานิคมด้วย เช่น การกล่าวอ้างสิทธิของชนกลุ่มน้อยต่างๆ (Minority groups) ที่ต้องการแยกตัวเองออกเป็นรัฐอิสระ นอกจากนั้นสิทธิในการกำหนดใจตนเองยังถูกใช้ในกรณีสิทธิมนุษยชน เช่น สิทธิของชนพื้นเมืองดั้งเดิมด้วย แคว้นปัตตานีเป็นส่วนหนึ่งของประเทศสยามตั้งแต่ปี1909แล้วตามสนธิสัญญา Anglo-Siamese Treaty ที่ทำร่วมกับอังกฤษและมีสถานเป็นมณฑลหนึ่งของสยามจนพัฒนากลายเป็น3จังหวัด (ปัตตานี,ยะลา,นราธิวาส) ต่อมา จึงทำให้ไม่อยู่ในสถานอาณานิคมแต่แรกอยู่แล้วดังนั้นจะเอามตินี้มาอ้างไม่ได้

และย้อนมองไปดูรัฐธรรมนูญไทย มาตราที่ 1 มาตราที่ผมชอบมากที่สุดของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยทุกฉบับ เท่าที่มีการยกร่างกันมาก็คือมาตรา 1 ครับ ที่เขียนเอาไว้ว่า ประเทศไทยเป็นราชอาณาจักรอันหนึ่งอันเดียว จะแบ่งแยกมิได้” เท่านั้นคงเพียงพอแล้ว สำหรับหยุดแนวความคิดแบ่งแยกดินแดนของแนวร่วมขบวนการโจรใต้ ตาต่อตา ฟันต่อฟันไปเลยครับ

วันจันทร์ที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2561

ชีพนี้เพื่อประชาชน



"อส." คือกองกำลังประจำถิ่น ซึ่งกำลังมีบทบาทสำคัญในการดูแลพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ในวันที่ "ทหารหลัก" หรือ "ทหารเขียว" ทะยอยถอนกำลังกลับบ้าน ซึ่งในปัจจุบันถือได้ว่า กองกำลัง อส. มีความสำคัญมากระดับต้นๆ ในการแก้ไขปัญหาในพื้นที่ เพราะ อส.แต่ละคนคือคนในพื้นที่

แม้ชีวิตของเจ้าหน้าที่ทุกนายในสามจังหวัดชายแดนจะแขวนอยู่บนเส้นด้าย ไม่รู้จะถูกยิงถูกระเบิดวันไหน แต่สำหรับ อส.แล้ว พวกเขาถือเป็น "เป้าใหญ่" เพราะส่วนใหญ่เป็นคนพื้นที่ที่หันไปทำงานให้กับรัฐ จึงกลายเป็นศัตรูหมายเลข 1 ของกลุ่มก่อความไม่สงบที่อ้างอุดมการณ์แบ่งแยกดินแดน

ซึ่งเมื่อหลายสัปดาห์ก่อนมีใบปลิวโจมตีข่มขู่เพื่อให้เปลี่ยนทัศนะคติในเรื่องชาติพันธุ์ ศาสนา ของฝ่ายตรงข้ามเพื่อให้ อส.เข้าร่วมกับขบวนการ แต่ดูเหมือนว่าทำอย่างไรก็มิอาจทำลายกำแพงอันหนาแน่ของจิตใจกองกำลังอาสาได้ แน่นอนการที่มีคนทำงานเพื่อประชาชน เป็นคนในพื้นที่ ย่อมทำให้ฝ่ายตรงข้ามเสียเปรียบด้านมวลชน มีความหวาดระแวงในกลุ่มขบวนการเรื่องการข่าว ย่อมทำให้กลุ่มขบวนการต้องมอบความกลัวให้กับ อส. เพราะมันเป็นวิธีเดียวที่สามารถแก้ไขปัญหาที่เกิดได้ เหมือนกับที่ทำไว้กับประชาชนในพื้นที่ นั้นก็คือการมอบความตายให้กลายเป็นความกลัว

หากประเมินสถานการณ์กันชัดเจนว่า ฝ่ายผู้ก่อการตั้งเป้าโจมตีและสังหารเจ้าหน้าที่ที่ถืออาวุธ และ อส.ก็เป็นหนึ่งในนั้น ซ้ำยังจัดเป็นเป้าหมายอ่อนแอที่สุดในกลุ่มผู้ถืออาวุธ เพราะเป็นเพียงกำลังพลกึ่งทหารแต่ถือได้ว่าการทำงานของ อส. ดีกว่า ทหารในพื้นที่เสียอีก เพราะพวกเขาเหล่านี้เป็นคนนี้พื้นที่ รู้จักภาษาท้องถิ่น รู้จักคน รู้จักพื้นที่ดีกว่าเจ้าหน้าที่หน่วยอื่น ๆ จึงกลายเป็นหนามยอกอกที่ทิ่มแทง ฝ่ายตรงข้าม อยู่ตลอดเวลา ทั้งนี้ต่อให้มีการก่อเหตุโจมตีเจ้าหน้าที่เสียชีวิต แต่ อส. เหล่านี้ ก็ยังทำให้ที่รับใช้ประชาชน ดูแลความปลอดภัยให้กับประชาชน ปกป้องแผ่นดินเกิดของตนเอง

ในภาพ อส. ในจังหวัดชายแดนใต้จึงกลายเป็น ไอดอล ของเยาวชนในพื้นที่หรือใครหลายคนที่ชื่นชอบการทำงาน สังเกตุได้จากการับสมัคร อส. ในสามจังหวัดชายแดนใต้ มีประชาชนหลายหมื่นคนรับสมัครทดสอบเป็น อส. เพราะพวกเขารู้ว่า อาชีพนี้คือการทำงานหน้าที่เพื่อประชาชนอย่างแท้จริง ชีพนี้เพื่อประชาชน

ขอเป็นกำลังใจให้กับเจ้าหน้าที่ อส. ในสามจังหวัดชายแดนใต้ ทุกนาย ขอบคุณที่ดูแลประชาชน

เมื่อ 16เมย.61 เวลา 02.21 รับแจ้งว่ามีคนถูกยิงเสียชีวิตและบาดเจ็บ ที่ บ.ควนลาแม ม.3 ต.นาเกตุ อ.โคกโพธิ์ จวปัตตานี ขณะที่ อส.มูฮาหมัดรอรี เจ๊ะเด็ง อายุ 42 ปี อยู่ 67 ม.3 ต.นาเกตุ อ.โคกโพธิ์ จว.ปัตตานี เป็นคนขับรถเก๋ง มีนาย อับดุลการีม มือซา อายุ 30 ปี อยู่ 17/3 ม.3 ต.นาเกตุ นั่งข้าง เพื่อจะกลับบ้านเมื่อมาถึงที่เกิดเหตุได้มีคนร้ายใช้อาวุธปืนยิงใส่จำนวนหลายนัดกระสุนถูกนาย อับดุลการีม บือซา เสียชีวิต
และกระสุนไปถูกนายสาบูดิง นิเฮง 32 ปี อยู่ 16/1 ม.3 ต.นาเกตุ ซึ่งขับรถผ่านมาได้รับบาดเจ็บ นำส่ง รพ.โคกโพธิ์
เหตุเกิดบนถนน บ้านคลองช้าง-ควนลาแม บ.ควนลาแม ม.3 ต.นาเกตุ อ.โคกโพธิ์ จว.ปัตตานี



วันอังคารที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2561

NGOs ในพื้นที่ 3 จชต. หายหัวไปไหน



NGOs ในพื้นที่ 3 จชต.
หายหัวไปไหนตอนที่โจรใต้วางระเบิด
แต่พอ จนท. จับโจรใต้ได้
เสือกออกมาบอกว่าละเมิดสิทธิ

เคยสงสัยไหมเวลากลุ่มอาชญากรใต้ หรือโจรใต้ มันก่อเหตุ ทำให้ผู้บริสุทธิ์ต้องเสียชีวิต ข้าวของพังพินาศ พวกนักวิชาการ นักสิทธิมนุษยชน NGOs ทั้งหลายแหล่ ไม่โผล่หัวมาสักตัว แต่เวลา จนท. จับโจรได้ มักจะมีกลุ่มคนพวกนี้ออกมาตำหนิติเตียนการปฏิบัติงานของ จนท.รัฐ จับแพะ ทำเกินกว่าเหตุ ละเมิดสิทธิมนุษยชน ต่างๆ นาๆ เลยสงสัยว่าแล้วพี่น้องคนไทยที่เสียชีวิตด้วยน้ำมือของพวกโจรใต้หละ ใครจะออกมาเรียกร้องสิทธิ ใครจะออกมาทวงความเป็นธรรม สิทธิของพวกเขาอยู่ที่ไหน ไม่มีโอกาสเลยที่พวกเขาจะได้เปล่งเสียงเพื่อร้องขอชีวิต มันน่าเจ็บใจที่คนพวกนี้ทำเพื่อเงินโดยไม่คำนึงถึงความถูกต้อง

#FuckYouNGOs

วันจันทร์ที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2561

โจรใต้บึ้มคาร์บอม กลางเมืองสุไหงโก-ลก ประชาชนเจ็บ 2


เกิดคาร์บอมกลางเมืองสุไหงโกลก 2 จุด แถววัดท่านเอียด กับหลังโรงแรมพลาซ่า
รายงานเหตุเบื้องต้น
เหตุ 511

เมื่อ 091757 เม.ย.61 สภ.สุไหงโก-ลก รับแจ้งเหตุว่ามีคนร้ายยังไม่ทราบชื่อและจำนวนลอบวางระเบิดในพื้นที่ดังนี้
-จุดที่ 1 (17.57) หน้าวัดท่านเอียด ถ.ประชารัฐ ซอย 3 เทศบาลเมืองสุไหงโก-ลก จว.นราธิวาส
(ไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บ)
-จุดที่ 2 (17.59) หลังโรงแรมพลาซ่า เทศบาลเมืองสุไหงโก-ลก จว.นราธิวาส
(มีผู้ได้รับบาดเจ็บ 2 ราย)
ถูกนำตัวส่ง รพ.สุไหงโก-ลก
รายละเอียดเพิ่มเติมอยู่ระหว่างการสืบสวนสอบสวนและตรวจสอบ

พื้นที่รับผิดชอบ สภ.สุไหงโก-ลก จว.นราธิวาส โทร. 073-611-544
รอง สว.(สอบสวน)ร.ต.ท.ไตรภพ ดอนไพรเล้า โทร. 085-899-9561
ศูนย์วิทยุและเฝ้าฟัง ศปก.ตร.สน. โทร. 073-203-690-1

วันอาทิตย์ที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2561

ผมอยากให้ 3 จชต. กลับมาสงบสุขอีกครั้ง เอนก เพชรทอง อาสารักษาดินแดนเสียงหวาน (ชมคลิป)



3 จังหวัดชายแดนภาคใต้คือพื้นที่อันตรายที่ใครๆ หลายคน ไม่อยากมา
แต่จริงๆแล้ว มันไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด
คนไทยพุทธ – ไทยมุสลิม อยู่กันอย่างมีความสุขด้วยดีมาตลอด
เพียงแต่มีคนบางกลุ่มเท่านั้นพยายามสร้างความรุนแรงนั้นขึ้นมา
เพื่อกอบโกยผลประโยชน์ และแยกตัวเป็นรัฐปกครองพิเศษ
แต่ถ้าให้ถามคนในพื้นที่ ไม่มีเลยสักคนที่เห็นด้วยกับแนวคิดบ้าๆ เหล่านี้
ไม่มีใครอยากแยกตัวไปเป็นอีกประเทศหรอก เขาบอกว่า เป็นคนไทยก็ดีอยู่แล้ว
“ทำไมต้องแยกไปด้วย ถ้าพวกมันจะแยกก็ให้มันไป ฉันไม่ไปหรอก”

และนี่คือเสียงของคนในพื้นที่

ส่วนผู้ชายคนนี้คืออาสารักษาดินแดน อาสามารับใช้ประเทศชาติ รับใช้ประชาชน เขาบอกว่า ตอนนี้เขาทำงานบริการประชาชนเป็นหลัก เพราะคนในพื้นที่เดือดร้อนและเกรงกลัวอันตราย ซึ่งเขาและพวกพ้องต้องคอยดูแลประชาชนให้ดีที่สุด ทั้งยังเป็นบ้านเกิดของตนเองอีกด้วย จึงอยากมีส่วนร่วมที่จะทำให้พื้นที่นี้กลับมามีความสงบสุขอีกครั้ง ดังนั้นจึงอาสามาร้องเพลงเพื่อให้คนในพื้นที่ได้ดูได้ชม เขาจะใช้เสียงเพลงเป็นตัวช่วยในการสร้างความสงบสุขอีกครั้ง

"ผมอยากให้ 3 จชต. กลับมาสงบสุขอีกครั้ง"
เอนก เพชรทอง

ชมคลิป




เมื่อเสียงเพลงยังคงก้องอยู่ในใจ ไม่ว่าจะสถานที่แห่งความน่ากลัวขนาดไหน เสียงเพลงยังคงสร้างความสุขและรอยยิ้มได้เสมอ 
"เอนก เพชรทอง" หนึงในสมาชิกอส.(สมาชิกกองอาสารักษาดินแดน) 
ผู้สร้างเสียงเพลง #ไมค์ทองคำ7 #ช่องเวิร์คพอยท์








วันอังคารที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2561

แม่ทัพภาค 4 แถลงข่าวการทุจริตเงินอุดหนุนการศึกษา โรงเรียนบากงพิทยา (ชมคลิป)



เมื่อ 2 เม.ย.61 เวลา 1730 พล.ท.ปิยวัฒน์ นาควานิช มทภ.4/ผอ.รมน.ภาค 4 เป็นประธานการแถลงข่าวการดำเนินการตรวจสอบการทุจริตเงินอุดหนุนการศึกษาของรัฐ โรงเรียนบากงพิทยา บ้านบากง ต.บางเขา อ.หนองจิก จว.ป.น. ณ เรือนรับรอง มทบ.46 ค่ายอิงคยุทธบริหาร อ.หนองจิก จว.ป.น. ผลการดำเนินการ ตรวจพบเอกสารปลุกระดมมวลชน ถังดับเพลิง ถังแก๊สปิกนิคที่เก็บไว้ในลักษณะอำพรางซุกซ่อน และตรวจพบหลักฐานการทุจริตงบประมาณในการอุดหนุนการศึกษาของรัฐ การสนับสนุนผู้ก่อเหตุรุนแรงที่อำพรางเป็นบุคลากรทางการศึกษา

อาชีพที่จะต้องหมดไป  คือ โรงเรียนผี นักเรียนผี ครูผี หรืออะไรก็ตามที่เป็นผี โดย ผมจะเป็น"จอมขมังเวทย์" ผมจะจับผีเอง และในเร็วๆนี้เราจะช่วยกันจับผีให้หมดไป

แม่ทัพภาค 4 กล่าว









ชมคลิป


วันจันทร์ที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2561

ผบ.ตร. เผย เด้งแล้ว 2 ตำรวจนอกแถว ติดตามบิ๊กโรงแรมป่าตอง



สรุปแล้วผู้บริหารโรงแรมผิดจริง
หนำซ้ำ 2 ตำรวจนอกแถว เข้าข่ายผิดวินัย เด้งแล้ววันนี้
เมื่อ 2 เม.ย.61 ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) กล่าวถึงกรณี พล.ท.ปิยวัฒน์ นาควานิช แม่ทัพภาคที่ 4 ออกมาระบุว่าจะเสนอต้นสังกัดให้ดำเนินการย้ายตำรวจ 2 นายที่คอยติดตามเจ้าของโรงแรมในหาดป่าตอง จ.ภูเก็ต พ้นพื้นที่ภูเก็ต สืบเนื่องจากปรากฏในคลิปวิดีโอกล่าวหานายทหาร 3 นายเรียกรับรับผลประโยชน์จากเจ้าของโรงแรม ซึ่ง พล.ท.ปิยวัฒน์ยืนยันว่านายทหารทั้ง 3 นายเข้าไปเจรจากรณีปัญหาภายในโรงแรมตามที่มีผู้ร้องเรียนเท่านั้น และสั่งการให้ดำเนินการทางกฎหมายต่อเจ้าของโรงแรมดังกล่าวด้วยว่า ตนทราบเรื่องแล้วและทาง พล.ต.ท.สรศักดิ์ เย็นเปรม ผบช.ภ.8 สั่งการให้ตำรวจทั้ง 2 นายพ้นตำแหน่งไปช่วยราชการแล้ว

เมื่อถามว่าเป็นการรังแกตำรวจหรือไม่ พล.ต.อ.จักรทิพย์กล่าวว่า ไม่เข้าใจว่าทำไมสื่อมวลชนมองว่าเป็นการรังแก หรือดิสเครดิตตำรวจ ทาง ผบช.ภ.8 พูดคุยกับแม่ทัพภาคที่ 4 แล้ว เมื่อวานตนก็เจอกับ แม่ทัพภาคที่ 4 ก็ไม่ได้คุยกันเรื่องนี้ ตนให้ ผบช.ภ.8 ดำเนินการ และมีคำสั่งให้ตำรวจ 2 นายไปช่วยราชการเรียบร้อยแล้ว
ที่มา MGR Online

วันอาทิตย์ที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2561

ผู้มีอิทธิพลเมืองภูเก็ตร้อน!!



“ผู้บริหารโรงแรม มีตำรวจติดตามดูแลอย่างใกล้ชิด 2 นาย
ตำรวจควรไปทำหน้าที่ตำรวจไม่ใช่มาติดตามผู้บริหารโรงแรม”
แม่ทัพภาค 4 กล่าว ก่อนเตรียมทำเรื่องเสนอต้นสังกัดตำรวจ 2 นาย โยกย้าย

พลโทปิยวัฒน์ นาควานิช แม่ทัพภาคที่4 กล่าวถึงกรณีมีการเผยพร่คลิปทหาร 3 นายกำลังพูดคุยกับผู้บริหารโรงแรม และถูกแชร์ในโซเชียลว่าทหารใช้อำนาจไปรีดไถและปรักปรำผู้บริหารโรงแรมว่าเป็นผู้มีอิทธิพลนั้น สืบเนื่องจากทหารได้รับเรื่องร้องเรียน ผ่านศูนย์ดำรงธรรม และได้ส่งเรื่องมายังกองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อย (กกล.รส.) ของ พล.ร.5 จึงได้ส่งทหารไปตรวจสอบและพูดคุย เพื่อให้ผู้ถูกกล่าวหาชี้แจง กรณีพนักงานโรงแรมแห่งหนึ่งใน จ.ภูเก็ต ได้ทำหนังสือร้องเรียนไปที่ บก.ควบคุม พล.ร.5 ว่าถูกผู้มีอิทธิพลรังแก

โดยทำหนังสือไป จำนวน 4 ครั้ง ซึ่งผู้มีอิทธิพลที่ถูกร้องเรียนคือกรรมการบริหารโรงแรมดังใน จ.ภูเก็ต ซึ่งทั้ง 2 คน มีความขัดแย้งกัน เนื่องจากเมื่อวันที่ 2530 ธ.ค. 60 พนักงานโรงแรงดังกล่าวได้ลากิจ จำนวน 5 วัน ทำให้ผู้บริหารโรงแรมไม่พอใจพร้อมทั้งออกคำสั่งปลดพนักงาน แต่พนักงานไม่ออกตามคำสั่ง ทำให้ผู้บริหารคนนี้โกรธแค้น และนำกลุ่มชายฉกรรย์ เข้ามาข่มขู่นายพนักงานถึงที่ทำงาน ทำให้พนักงานคนดังกล่าวยื่นหนังสือขอความเป็นธรรมจาก บก.ควบคุม พล.ร.5 จำนวน 4 ครั้ง จนในวันที่ 17 ม.ค. 61
ต่อมาในวันที่ 27 มี.ค.2561 ทหารชุดปฏิบัติการรักษาความสงบเรียบร้อย กรมทหารราบที่25( ชป.รส.ร.25)นำโดย ร.ต.วัฒนชัย คล่องประดิษฐ์ หน.ชุดฯ ได้เข้าไปตรวจสอบข้อเท็จจริง ซึ่งได้พบกับผู้บริหารโรงแรมคนดังกล่าว และได้แสดงตัวและแจ้งให้ทราบว่าเป็น จนท.มาตรวจสอบตามเรื่องร้องเรียน ซึ่งผู้บริหารโรงแรมคนดังกล่าว ได้ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี และรับทราบเรื่องดังกล่าวและได้เชิญเข้าไปนั่งในโรงแรมตามภาพที่ปรากฎในวีดีโอ

จากนั้น พ.ท.สุรศักดิ์ พึ่งแย้ม จึงได้เข้าไปที่โรงแรม และได้ชี้แจงรายละเอียดเกี่ยวกับการมาตรวจสอบครั้งนี้ และได้แจ้งกับผู้บริหารโรงแรม คนดังกล่าว และ จนท.ตร. 2 นาย ว่า ชป.รส.ร.25 จะขอสอบถามข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเรื่องที่ถูกร้องเรียน จึงให้ทั้ง 3 คนมาให้ข้อมูลด้วย แต่ผู้บริหารโรงแรมคนดังกล่าว ได้แจ้งว่าตนเองไม่ว่างขอเข้ามาพบในวันที่ 2 เม.ย. 61 และจะนำเอกสารต่างมายืนยันว่า ที่ได้รับเรื่องร้องเรียนไม่เป็นความจริง ซึ่งได้นั่งพูดคุยกันอีกประมาณ 2 ชั่วโมง อย่างไรก็ตามได้มีการตัดเอาภาพเฉพาะ ตอนที่ผู้บริหารโรงแรมคนดังกล่าว พูดแสดงความไม่พอใจในช่วงแรก มาเผยแพร่ในโซเชียล พร้อมข้อความที่ทำให้ฝ่ายทหารเสียหาย ทั้งที่ตลอดการพูดคุย หลังจากนั้นเป็นไปด้วยดี จึงทำให้สงสัยในเจตนาของ บุคคลดังกล่าว

"ผมจึงให้นายทหารพระธรรมนูญ เตรียมการฟ้องร้องทางผู้บริหารโรงแรม และบุคคลที่เผยแพร่คลิปนี้ ทั้งที่ทหารทำตามระเบียบถูกต้อง แต่งเครื่องแบบและแสดงตัว พร้อมแจ้งข้อหาเรื่องร้องเรียน แต่กลับมากล่าวหาว่าทหารไปรีดไถเรียกรับผลประโยชน์ ทำให้ฝ่ายทหารซึ่งปฏิบัติหน้าที่ เสียหาย" แม่ทัพภาคที่ 4 กล่าว

ส่วนการที่ทหารต้องพกอาวุธปืนสั้นนั้น แม่ทัพภาคที่4 กล่าวว่าเป็นอาวุธปืนพกสั้น ที่เป็นอาวุธประจำกาย ไม่ได้พกอาวุธสงคราม อีกทั้งเพราะเป็นการไปทำหน้าที่กับผู้ที่ถูกร้องเรียนว่าเป็นผู้มีอิทธิพล และผู้บริหารโรงแรม มีตำรวจ 2 คน ติดตามดูแลตลอดเวลา และจากการตรวจสอบ ข้อมูลในเบื้องต้นทหารจึงต้องระวังตัวเอง ทั้งนี้กำลังทำเรื่องให้ต้นสังกัด ตำรวจ 2 นายนี้ ที่มาติดตามดูแลผู้บริหารโรงแรม เพื่อพิจารณาโยกย้ายเพราะตำรวจควรไปทำหน้าที่ของตำรวจ ไม่ควรมาเดินตามผู้บริหารโรงแรม

พลโทปิยวัฒน์ กล่าวต่อว่าคลิปวิดีโอที่ปรากฏ ในโซเชียลรวมทั้งที่ทหาร ถ่ายมาเป็นหลักฐาน ตลอดเวลาการเข้าปฏิบัติหน้าที่ จะเห็นว่าฝ่ายทหาร นิ่ง สุขุม ทำตามระเบียบ ในการแต่งเครื่องแบบ แสดงตน ชัดเจน และแจ้งข้อกล่าวหาเพื่อให้ชี้แจงเมื่อทำแบบนี้ เราก็คงต้องใช้มาตรการทางกฏหมายในการดำเนินการ