ขบวนการแบ่งแยกดินแดนหวังผลอะไรจาก
Right
to Self Determination และ Armed Conflict โดยมีกลุ่มนักศึกษา
PerMAS ที่เป็นแนวร่วม เคลื่อนไหวทางการเมืองให้ขบวนการ
ทุกการเคลื่อนไหว
ทุกก้าวย่างของปีกการเมืองขบวนการย่อมมีนัย และย่อมหวังผลให้เกิดขึ้นไม่วันนี้ก็วันหน้า
ไฉน!!
ด้วยเหตุผลกลใดคนกลุ่มนี้ถึงคิดการใหญ่มองไกลไปถึงการแบ่งแยกดินแดนเพื่อเป็นเอกราช
ก่อกำเนิดประเทศใหม่ขึ้นมาบนแผนที่โลก...
เพราะความทะเยอทะยานกระมัง!!
หรือเป็นเพราะสันดานของมนุษย์กลุ่มคนที่เลี้ยงไม่เชื่อง กินบนเรือนขี้รดหลังคา
ไม่เคยสำนึกบุญคุณแผ่นดินเกิด
ตอนเชื้อไฟใต้ปะทุครั้งแรกกลุ่มคนเหล่านี้อายุเท่าไหร่กัน...บางคนยังเป็นเด็กน้อยอยู่เลย
มาวันนี้กลับเหิมเกริมคิดการใหญ่
เพราะ...เป็นแบบนี้
ผู้เขียนอยากจะแชร์พฤติกรรมเลวของคนส่วนน้อยที่อาศัยสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่
จชต. อยากให้คนในชาติได้รู้เท่าทันเล่ห์เหลี่ยมกลอุบายของความกระหายอยากแยกตัวเป็นเอกราชจนตัวสั่น
แต่พี่น้องร่วมชาตินี่แหละ!! จะเป็นพลังเมื่อเรารู้เท่าทันจะพาชาติรอด
เมื่อรู้แล้วขอได้โปรดเผื่อแผ่ไปยังเพื่อนๆ ให้รับรู้เหมือนที่เรารู้
อย่าเก็บไว้อ่านคนเดียว รู้อยู่คนเดียว ไร้ประโยชน์มิเกิดผลใดๆ
และที่สำคัญอย่าให้คนใดคนหนึ่งต้องต่อสู้อยู่อย่างโดดเดี่ยวและลำพัง
หากท่านสู้ร่วมกันแชร์ไปเถอะเพื่อท่านจะได้มีเพื่อนร่วมต่อสู้
ท่านจะไม่โดดเดี่ยวอีกต่อไป ถ้าไม่ใส่ใจอะไรก็ชั่ง ไม่ใช่เรื่องหรือปัญหาของกู
สักวันหนึ่งเราจะไม่มีแม้แต่ผืนแผ่นดินที่จะอยู่....
โปรดสังเกตพฤติกรรมหรือสันดานของกลุ่มนักศึกษาที่ชื่อว่า
PerMAS
ที่เคลื่อนไหวในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ มักหยิบยกคำว่า Self
Determination มาเรียกร้องให้รัฐบาลไทยยินยอมให้ใช้สิทธินี้
ซึ่งน่าแปลกใจที่กลุ่มนักศึกษา PerMAS รู้ซึ่งถึงความหมายหรือแกล้งไม่รู้
แต่กลับพูดไม่หมด พยายามหยิบยกกฎบัติสหประชาชาติเพียงบางข้อมาทำการเคลื่อนไหว
ความพยายามในการสื่อสารไปยังองค์กรระหว่างประเทศของกลุ่มโจร
มีการกล่าวหารัฐสร้างเงื่อนไข
เพียงเพื่อให้เข้าเงื่อนไขเสมือนหนึ่งเป็นการบ่อนทำลายชาติถึงขั้นกบฏต่อแผ่นดิน
ดังนั้นขอเอาความรู้เรื่องนี้มาให้พี่น้องชาวไทยได้รับรู้บ้างเพราะการรู้เท่าทันคือทางรอดของแผ่นดิน
•
Year book (รายงานประจำปี) ค.ศ.2013 ของต่างประเทศ
บอกว่าสามจังหวัดชายแดนภาคใต้เข้าข่ายเป็น Armed Conflict (ความขัดแย้งที่มีการใช้อาวุธ)
•
รัฐบาลไทยบอกสถานการณ์ในพื้นที่ชายแดนใต้เป็นปัญหาภายในไม่เข้าข่าย Armed
Confrict (ความขัดแย้งที่มีการใช้อาวุธ)
•
ที่ผ่านมากาชาดสากลก็พยายามเข้ามาขอตั้งสำนักงานถาวรในพื้นที่
โดยอ้างว่าเป็น Armed Conflict แต่เราบอกว่า ไม่ใช่!!
จึงเข้ามาตั้งสำนักงานถาวรไม่ได้ เข้ามาได้แค่เป็นครั้งคราว
ถ้ายอมให้กาชาดสากลเข้ามาตั้งสำนักงานถาวร
ใครจะรู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ? (ในความเป็นจริง
ขณะนี้เข้ามาตั้งแล้ว แบบขอชั่วคราวแต่ไม่ยอมกลับ) (เงินทุนมหาศาล)
•
แต่ถ้าหากขับเคลื่อนการบริหาร 3 จชต.เข้าสู่การกำหนดนโยบายของตนเอง
(Right to Self Determination) ใครจะรับรองว่าไม่มีความขัดแย้งขึ้นอีก?
ในที่สุดรัฐบาลต้องรัฐบาลต้องแก้ไขปัญหาด้วยการปราบปราม เช่น
ทุกวันนี้
•
อำนาจที่เติมเต็มให้กับการกำหนดนโยบายของตนเอง
ปัตตานีย่อมมีสิทธิที่จะอ้างการปราบปรามความไม่สงบของรัฐบาลนั้นเป็น Armed
Conflict (การต่อสู้ทางอาวุธเช่นทุกวันนี้)
และก็เป็นสิทธิที่จะโหวตให้ UN. ส่งกำลังเข้ามาได้เช่นกัน
•
ในการพูดคุยกับ BRN.จะได้ยินคำกล่าวหาที่ BRN.ยัดเยียดให้ไทยว่าเป็น “สยามนักล่าอาณานิคม”
•
การที่เรียกไทยว่า “สยามนักล่าอาณานิคม”
เป็น “ภาษาประดิษฐ์” ที่ประดิษฐ์มาใช้เพื่อเป็นองค์ประกอบในการอ้างต่อ
UN. ในการกำหนดเจตน์จำนงของตัวเอง
และก้าวไปสู่แยกตัวเองไปเป็นประเทศอิสระต่อไป
**เรียนรู้กฎหมายระหว่างประเทศว่าด้วยการขัดกันทางอาวุธ
[Armed
Conflict]
ส่วนที่
1 การให้คำนิยามทางกฎหมายของการขัดกันทางอาวุธ และ
ปัญหาในการจำแนกประเภทของการขัดแย้งกันในรูปแบบใหม่
การสู้รบตามมาตรา
1 แห่งพิธีสารเพิ่มเติมฉบับที่ 1 แม้เกิดขึ้นภายในประเทศ
การรับเอาพิธีสารเพิ่มเติม
1977 ฉบับที่ 1
โดยข้อบทนี้ได้ขยายขอบเขตและประเภทของความขัดแย้งให้ถือว่าเป็นลักษณะหนึ่งของการขัดกันทางอาวุธที่มีลักษณะระหว่างประเทศ
ซึ่งหากเป็นการสู้รบตามความหมายของมาตรา 1 แห่งพิธีสารเพิ่มเติม 1977 ฉบับที่ 1
ที่ถือว่าเป็นการการขัดกันทางอาวุธที่มีลักษณะระหว่างประเทศนั้น
แม้ว่าการสู้รบดังกล่าวจะเกิดขึ้นภายในอาณาเขตของดินแดนในประเทศเดียวกันก็ตาม
พิธีสารเพิ่มเติม
1977 ฉบับที่ 1 มาตรา 1 (4) บัญญัติว่า
“สถานการณ์ที่อ้างถือในวรรคก่อนนั้นรวมถึงกรณีพิพาททางอาวุธ
(Arm Conflict=ผู้เรียบเรียง)
ซึ่งประชาชนต่อสู้กับการปกครองแบบอาณานิคม และการยึดครองของต่างชาติ
และระบอบการเหยียดผิว
เพื่อการใช้สิทธิการกำหนดใจของตนเองทั้งหลายตามที่บัญญัติไว้ในกฎบัตรสหประชาชาติ
และปฏิญญาว่าด้วยหลักกฎหมายระหว่างประเทศเกี่ยวกับความสัมพันธ์ฉันท์มิตร และ
ความร่วมมือระหว่างรัฐต่างๆตามกฎบัตรสหประชาชาติ”
ดังนั้น
การสู้รบที่มีลักษณะใดลักษณะหนึ่งตามข้อบทข้างต้น
ถือว่าเป็นการขัดกันทางอาวุธที่มีลักษณะระหว่างประเทศโดยจะต้องเป็นการสู้รบดังกล่าวนั้น
จะต้องมีวัตถุประสงค์ดังต่อไปนี้
1) เพื่อปลดปล่อยตัวเองจากการเป็นอาณานิคม (Colonial
domination)
2)
เพื่อต่อต้านการยึดครองหรือการปกครองจากชาวต่างชาติ (Alien
Occouation)
3) เพื่อกำหนดเจตน์จำนงของตัวเอง (Self-determine)
4) ต่อสู้เพื่อเชื้อชาติ
เช่นการต่อสู้ต่อการเหยียดผิว (against racist regimes)
ซึ่งหากเป็นการสู้รบที่มีวัตถุประสงค์ตามที่ได้กล่าวมาข้างต้น
ถึงแม้ว่าจะเกิดขึ้นในประเทศเดียวกันก็ตาม ตามพิธีสารเพิ่มเติม ฉบับที่ 1
ถือว่าเป็นการสู้รบระหว่างประเทศตามความหมายของกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ
ซึ่งถือเป็นการขัดกันทางอาวุธมีลักษณะระหว่างประเทศด้วย
ดังนั้น
1. ข้อหา “สยามนักล่าอาณานิคม”
ที่ไทยถูกยัดเยียดให้โดยแกนนำกลุ่มขบวนการแบ่งแยกดินแดน
2. การขอตัดสินใจในอนาคตของตนเอง (Self
Determination) โดยภาพที่บริสุทธิ์ของกลุ่มนักศึกษา PerMAS เป็นผู้เรียกร้อง (ฉากหน้า)
เมื่อได้แล้วอาจจะสงบอยู่ระยะหนึ่ง
(และจะมีการสู้รบกันอย่างมากในต่อไป)
3. ความขัดแย้ง หรือ การสู้รบทางอาวุธ (Arm Conflict)
ที่รอวันอุบัติขึ้นหลังจากได้ Self Determination เป็นเรื่องไม่ยากที่จะเกิด
เมื่อถึงพร้อมใจ 3 ข้อ เป็นที่ประจักษ์
นั่นคือการแยกตัวออกจากไทยมีสหประชาชาติเข้ามาเป็นคนกลางจัดการให้
โดยอาศัยความไร้เดียงสาของกลุ่มนักศึกษา PerMAS เป็นตัวแสดงแทน
ถึงอย่างนี้แล้ว
เราจะปล่อยให้มีการขับเคลื่อน แนวความคิดกำหนดใจตนเอง หรือ RSD ได้อีกหรือ ตาสว่างกันเสียทีว่าเรากำลังถูกขบวนการแบ่งแยกดินแดน
กัดกินทรัพยากรอันมีค่าของเราไป นั่นคือนักเรียน นักศึกษา
เพราะกลุ่มขบวนการใช้วิธีปลูกฝังเด็กนักเรียนตั้งแต่ตาดีกาจนถึงระดับมหาลัย
จริงๆแล้วก็ไม่ทุกคน ไม่ใช่ทุกโรงเรียน แต่เป็นกลุ่มก้อนหนึ่งที่สามารถกระจาย
และถ่ายทอดแนวความคิดไปได้อย่างแพร่หลาย จากรุ่นพี่สู่รุ่นน้อง จากภายในสู่ภายนอก
และทำลายชาติจากภายนอกสู่ภายใน