วันกาชาดสากล
เกิดขึ้นภายใต้แรงผลักดันของ ญัง อังรี ดูนังต์ (Jean Henri Dunant) นายธนาคารชาวสวิส หลังจากที่เขาได้พบเห็นเหตุการณ์อันน่าสลดใจ เมื่อวันที่
24 มิถุนายน พ.ศ. 2402
โดยเกิดการสู้รบอย่างดุเดือดระหว่างกองกำลังทหารของฝรั่งเศสร่วมกับอิตาลี กับกองกำลังทหารของออสเตรีย
ณ บริเวณใกล้ ๆ หมู่บ้านของซอลเฟริโน ซึ่งอยู่ทางตอนเหนือของอิตาลี
ทำให้มีทหารบาดเจ็บและล้มตายเป็นจำนวนมาก เนื่องจากขาดคนช่วยเหลือพยาบาล
เขาจึงได้รวบรวมบรรดาหมอชาวออสเตรียและกลุ่มนักเรียนแพทย์อิตาเลียน
มาช่วยเหลือบรรเทาทุกข์ให้แก่ทหารที่ได้รับบาดเจ็บ
โดยไม่เลือกว่าเป็นฝ่ายมิตรหรือศัตรู
ครั้นเมื่อเขาเดินทางกลับถึงกรุงเจนีวา
ญัง อังรี ดูนังต์ ได้นำแรงบันดาลใจจากเหตุการณ์ดังกล่าว มาถ่ายทอดผ่านหนังสือ
"ความทรงจำที่ซอลเฟริโน" ขึ้น ทั้งนี้ มีใจความสำคัญระบุตอนหนึ่งว่า
"จะเป็นไปไม่ได้หรือ ที่จะจัดตั้งองค์กรอาสาสมัคร
ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยเหลือดูแลทหารบาดเจ็บในสงคราม" และเสนอแนะว่า
ควรจะมีการตระเตรียมอุปกรณ์ และเครื่องมือในการพยาบาลให้พร้อมในยามสงบ
เพราะเมื่อมีสงครามเกิดขึ้นจะได้ช่วยเหลือทหารที่บาดเจ็บทุกฝ่ายได้ทันท่วงที และขอให้ทหารฝ่ายใดผ่ายหนึ่งอย่ายิงคนที่ช่วยบรรเทาทุกข์เหล่านี้
เพราะอาสาสมัครเหล่านี้ยังจะให้ประโยชน์ในยามที่เกิดทุพภิกขภัย เช่น แผ่นดินไหว
น้ำท่วม ฯลฯ อีกด้วย
จากข้อเสนอแนะดังกล่าว
ทำให้เกิดการประชุมระหว่างประเทศขึ้น ณ กรุงเจนีวา โดยมีผู้แทนจาก 16 ประเทศเข้าร่วมประชุม
กระทั่งนำไปสู่การก่อตั้งสภากาชาดสากลขึ้น ณ ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ในปี พ.ศ.
2406 พร้อมกันนี้ ได้มีการจัดตั้ง
"คณะกรรมการระหว่างประเทศเพื่อบรรเทาทุกข์ทหารบาดเจ็บ" ขึ้นด้วย
ซึ่งปัจจุบันคือ คณะกรรมการกาชาดระหว่างประเทศ (The Internation Committee of
the Red Cross หรือ ICRC)
ทั้งนี้
คณะกรรมการกาชาดระหว่างประเทศและสหพันธ์สภากาชาดและสภาเสี้ยววงเดือนแดงระหว่างประเทศ
ได้กำหนดให้วันที่ 8 พฤษภาคมของทุกปี ซึ่งเป็นวันคล้ายวันเกิดของนายอังรี ดูนังต์
เป็นวันกาชาดโลก
หมอ พยาบาล ผู้ซึ่งปฏิบัติหน้าที่ในการดูแลรักษาผู้ป่วย
โดยไม่มีการแยกแยะว่า ผู้ป่วยคนนั้นเป็นคนดีหรือเป็นคนไม่ดี จะเลือกปฏิบัติไม่ได้
ตามหลักจรรยาบรรณของวิชาชีพยามเกิดสงคราม บุคคลที่ทำหน้าที่เป็นแพทย์
พยาบาลหรือแม้แต่ทหารเสนารักษ์ ยังได้รับการยกเว้นในการโจมตี
หรือทำลายล้างตามหลักการสากล แต่ไม่น่าเชื่อว่าในพื้นที่ จชต.
กลุ่มโจรใต้กล้าล่วงละเมิด
หากย้อนไปดูปฏิบัติการสุดโต่งที่เคยเกิดขึ้นกับสถานพยาบาลรวมไปถึงบุคลากรทางการแพทย์พบว่ามีหลายเหตุการณ์ด้วยกัน
เหตุการณที่ 1 เหตุเกิดที่รั้วหน้าสถานีอนามัยดอนรัก
อำเภอหนองจิก จังหวัดปัตตานี เมื่อวันที่ 11 มิถุนายน 2548 ทั้งวางเพลิงเผา อนามัย
เผาบ้านพัก พังยับ ทั้งยังฝังระเบิดหวังปลิดชีพ จนท. แต่ ถูกตรวจพบเสียก่อน
โชคดีที่ไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บ
เหตุการณที่ 2 เหตุการณ์ที่สำคัญที่สุดที่เกิดกับเจ้าหน้าที่สาธารณสุขคือ
เหตุการณ์ในวันที่ 8 ตุลาคม 2550 เวลา
12.45 น. กลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรง ได้บุกขึ้นไปยังสถานีอนามัยประจัน
ใช้อาวุธสงครามยิงเจ้าหน้าที่สถานีอนามัยที่กำลังรับประทานอาหารกลางวัน โดยเจ้าหน้าที่ไทยพุทธ 2 คน คือ นางอัจฉรา สกนธวุฒิ หัวหน้าสถานีอนามัยและ
นายเบญพัฒน์ แซ่ติ่น นักวิชาการสาธารณสุข ได้ถูกยิงเสียชีวิต
เหตุการณที่ 3
เหตุเกิดที่หน้าสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดปัตตานี เมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2555
โดยคนร้ายลอบวางระเบิดคาร์บอมบ์น้ำหนักกว่า 20 กิโลกรัม
หน้าสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดปัตตานี เป็นเหตุให้มีประชาชนเสียชีวิต 1 ราย
และได้รับบาดเจ็บอีก 8 ราย โดยพบรถรองผู้ว่าราชการจังหวัดปัตตานีได้รับความเสียหายจอดอยู่ในที่เกิดเหตุด้วย
แต่รองผู้ว่าฯ ไม่ได้เดินทางมากับรถคันนั้น
แรงระเบิดยังทำให้กำแพงและตัวอาคารด้านหน้าสำนักงานสาธารณสุข 2
ชั้นได้รับความเสียหายอย่างหนัก รถยนต์ที่จอดข้างถนน รถยนต์ชาวบ้านที่สัญจรไปมา
รวมไปถึงรถจักรยานยนต์ได้รับความเสียหายกว่า 10 คัน
ส่วนบุคลากรของสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดปัตตานีไม่ได้รับบาดเจ็บเนื่องจากเจ้าหน้าที่ส่วนใหญ่ยังมาไม่ถึงที่ทำงาน
แต่หากเกิดเหตุหลัง 8.30 น.น่าจะมีผู้บาดเจ็บหรือเสียชีวิตมากกว่านี้
เหตุการณที่ 4 เหตุเกิดที่จุดจอดรถผู้มารับบริการภายในโรงพยาบาลโคกโพธิ์
จังหวัดปัตตานี เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2557 เมื่อเวลา 9.30 น. ทำให้มีผู้บาดเจ็บ
10 ราย อาการสาหัส 3 ราย ส่งรักษาต่อ รพ.ปัตตานี
รับตัวรักษาที่ รพ.โคกโพธิ์ 7 ราย
และมีรถมอเตอร์ไชค์ที่จอดในโรงจอดรถถูกเพลิงไหม้เสียหาย 64 คัน และรถยนต์อีก 7 คัน
จุดที่คนร้ายนำรถมอเตอร์ไซด์ไปจอดนั้น เป็นส่วนท้ายสุดของโรงจอดรถที่อยู่ใกล้กับศาลานอกรั้วโรงพยาบาลที่เป็นจุดที่พักรักษาความปลอดภัยของ
อส. และแรงระเบิดส่งผลให้ อส.บาดเจ็บไป 4 ราย
เหตุการณที่ 5
เหตุการณ์ยิงนักวิชาการสาธารณสุขประจำสำนักงานสาธารณสุขอำเภอศรีสาคร จังหวัดนราธิวาส ซึ่งมีผู้ประสบเหตุทั้งสิ้น 3 คน
ซึ่งประกอบด้วย น.ส.จริยา พรหมนวล (นักวิชาการสาธารณสุข เสียชีวิต) น.ส.พิณยุพา
วชิรกิจโกศล (ลูกจ้าง ได้รับบาดเจ็บ) และ นางรุจิเรข หนูรัตน์
(นักวิชาการสาธารณสุข ไม่ได้รับบาดเจ็บ)
ซึ่งนับเป็นความสูญเสียที่สำคัญในชายแดนใต้
เหตุการณที่ 6 เหตุการณ์ที่โด่งดังไปทั่วโลกจนกระทั้ง
UN หรือ องค์การสหประชาชาติออกมาแถลงประณามโจรใต้ คือกลุ่มโจรใต้ได้เข้ายึดโรงพยาบาลเจาะไอร้องในจังหวัดนราธิวาส
แล้วใช้อาคารดังกล่าวเป็นที่มั่นในการยิงฐานทหารไทยที่อยู่ใกล้ๆ มีการใช้อาวุธปืนยิงอยู่นานราว
30 นาที
ขณะเกิดเหตุนั้นบรรดาผู้ป่วยและเจ้าหน้าที่ด้านการแพทย์ก็ยังคงอยู่ภายในตัวอาคารและพยายามหนีตายกันอลม่าน
"โรงพยาบาล หน่วยการแพทย์ รวมถึงบุคลากรทางการแพทย์
ล้วนได้รับความคุ้มครองภายใต้กฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ
พวกเขาไม่ควรตกเป็นเป้าโจมตีหรือถูกใช้เพื่อวัตถุประสงค์ทางทหาร"
สำนักงานข้าหลวงใหญ่เพื่อสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ ระบุในคำแถลง หน่วยงานของยูเอ็นยังได้ระบุด้วยว่า
การโจมตีบุคลากรทางการแพทย์ในภาคใต้ของไทยหลายครั้งที่ผ่านมา
เคยมีบุคลากรทางการแพทย์บางรายเสียชีวิต สถานพยาบาลและอุปกรณ์ทางการแพทย์เสียหายเป็นจำนวนมาก
และยังมีอีกหลายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับบุคลากรทางการแพทย์
ตลอดหลายปีที่ผ่านมา พวกกลุ่มโจรใต้ที่เป็นมุสลิมหัวรุนแรงได้ก่อเหตุร้ายด้วยวิธีการที่โหดเหี้ยม
อาทิ ใช้ปืนยิง ตัดคอ รวมถึงใช้ระเบิด บ่อยครั้งที่เป้าหมายนั้นเป็นบุคลากรทางการแพทย์
ครูหรือพระสงฆ์
ซึ่งเป็นเป้าหมายที่อ่อนแอและง่ายต่อการปฏิบัติการของแนวร่วมมือใหม่
อย่างไรก็ตามเหตุการณ์ความรุนแรงในภาคใต้ของไทยลดลงอย่างต่อเนื่อง
อาจจะมาจากการขับเคลื่อนแผนงานโครงการของรัฐในการพัฒนาพื้นที่ จชต.
ให้ประชาชนอยู่ดีกินดี มีงานทำ ลดความเลื่อมล้ำของสังคม
การเดินหน้าพูดคุยสันติสุขกับกลุ่มผู้เห็นต่างจากรัฐ โดยมีมาเลเซียเป็นผู้อำนวยความสะดวก
การขับเคลื่อนโครงการพาคนกลับบ้าน ของ กอ.รมน.ภาค 4 สน. เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้หลงผิดรายงานตัวแสดงตนเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม
ร่วมพัฒนาชาติไทย
แต่ท้ายที่สุดแล้วการพยายามที่จะก่อเหตุรุนแรงเพื่อการแบ่งแยกดินแดนนั้น
เป็นเพียงความคิดของคนบางกลุ่มที่ต้องการครอบครองดินแดน 3 จชต.
ซึ่งมีแหล่งทรัพยากรที่มีคุณค่ามหาศาล และกลุ่มคนเหล่านั้นใช้วิธีการบ่มเพาะเยาวชน
3 จชต. ให้มีแนวความคิดแบ่งแยกดินแดนเหมือนกับตน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น