วันอาทิตย์ที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2561

ตอนกูเล็กๆประมาณ 7 ขวบ กำลังนั่งเล่นของเล่น จู่ๆมีคนวิ่งมากระซิบบอกว่ากูจะต้องไปเข้าพิธีสุนัต



ตอนกูเล็กๆประมาณ 7 ขวบกำลังนั่งเล่นของเล่น จู่ๆมีคนวิ่งมากระซิบบอกว่ากูจะต้องไปเข้าพิธีสุนัตหรือการขลิบหนังปลายฆวย (Circumcision) ตอนนั้นกูตกใจ ร้องไห้ รีบวิ่งไปหาที่ซ่อนตัว สุดท้ายมีคนมาเจอกู แล้วมัดตัวกูไปที่คลินิกทำสุนัตที่มาประจำทุกปีแถวหมู่บ้าน

มึงคิดว่ากูจะยอมง่ายๆหรอ ด้วยกำลังของเด็กอายุ7 ขวบ ไร้เดียงสา กูพยายามที่สุดที่จะปกป้องหนังปลายฆวยของตัวเอง กูจำได้ว่ากูกรีดร้องลั่น กูสบถคำหยาบใส่อัลเลาะห์.. ทำไมทุกคนถึงแคร์แต่ความรู้สึกอัลเลาะห์ แต่ทำไมไม่แคร์ความรู้สึกกูเลย.. กูจำได้ว่าก่อนจะขึ้นเขียง กูพูดเกรี้ยวกราดกับทุกคน ตรงนั้นว่าถ้ากูโดนขลิบ ชีวิตนี้ไม่ต้องเอาคำว่าอัลเลาะห์มาพูดให้กูฟังอีก

คนรอบข้างกูในวันนั้น ไม่เคยรู้หรอกว่ามันเป็นสิ่งที่ฝังใจ ไม่รู้หรอกว่าช่วงเวลาแบบนั้นมันเปราะบางมากที่จะเกิดพฤติกรรมฝังใจ (Phobia) รวมไปถึงพฤติกรรมก้าวร้าว เอาแต่ใจ ไม่ฟังใคร คล้ายๆกับอาการ ADHA ของกู

หลังจากนั้นกูเริ่มต่อต้านความเป็นอิสลามมากขึ้น ยิ่งโตก็ยิ่งมากขึ้นโดยที่กูเองก็ไม่รู้ตัว เริ่มต้นจากการที่กูไม่ชอบที่ตัวเองถูกเรียกว่าอิสลาม ไม่ชอบการแต่งตัวแบบอิสลาม อยากเลี้ยงหมา อยากกินซาลาเปาใส้หมู mimic, sarcastic, taunt ใส่ศาสนาตัวเอง

พอโตขึ้นเรียนรู้อะไรมากขึ้นก็เริ่มต้องอยู่ให้เป็น ก็พยายามไม่เอาตัวเองไปอยู่ในบรรยากาศที่กูไม่ชอบ กูเริ่มชอบอยู่ห่างจากบ้าน กูเริ่มไม่ชอบกลับบ้าน กูเริ่มติดเพื่อน

หลายครั้งมากที่ตัวกูเองอยากทำอะไรหลายๆอย่าง แต่ถูกเบรคว่า ไม่ได้นะ! เพราะกูเป็นมุสลิม! ซึ่งบางครั้งมันเป็นคำตอบ ซึ่งกูหวังว่าจะได้ยินอะไรที่สมเหตุสมผลกว่านั้น การที่เด็กคนนึง เริ่ม Criticize สิ่งต่างๆแล้วคนรอบข้างกลับบอกว่า มันคือพระประสงค์ของพระเจ้า มันคือสิ่งที่พระเจ้ากำหนดไว้ มันคือสิ่งที่มุสลิมไม่ควรทำ ล้วนแล้วแต่ทำให้กูหมดศรัทธาในตัวศาสนา

ในชีวิตที่กูเกิดมา ศาสนาที่กูเองไม่ได้แม้กระทั่งเลือกด้วยตัวเอง ความกดดันจากคนรอบข้าง เวลาที่กูทำอะไรดีๆแม่งไม่เห็นมีอิเหี้ยหน้าไหนมาชมกูเลย แต่เวลาที่กูแค่ไม่ปฏิบัติตามหลักการของอัลเลาะห์ทำไมมีแต่คนมารุมโจมตีกู ไม่พูดกับกู ปฏิบัติเหมือนกูไปฆ่าใครตาย ทำเหมือนกูไม่มีคุณค่า กับอิแค่กูไม่ละหมาด กูไม่ถือศีลอด รวมไปถึงเพศสภาพของกู กูรู้สึกถูกคุกคามตลอด เรียกตัวเองว่ามุสลิม

ทำไมกูถึงไม่เชื่อในอัลเลาะห์? ก็เพราะเวลาที่กูอยู่ในจุดต่ำสุดของชีวิต ก็เห็นมีแต่กูคนเดียวที่ดิ้นรน ก็กูนี่แหละเป็นคนพูดกับตัวเองว่ากูต้องสู้ กูต้องรอด กูต้องทำให้ได้ กูต้องผ่านมันให้ได้ กูทั้งนั้น! แล้วจะให้กูเชื่อพระเจ้ามากกว่าเชื่อตัวกูเองได้ไงว่ะ!

พอกันที กูอดทนเปิดใจให้ศาสนามามากพอแล้ว กูเองลึกๆไม่โทษตัวศาสนาหรือตัวอัลเลาะห์ กูว่าถ้าเค้าเป็นคนจริงๆมาก่อนต้องเป็นคนที่Cool คนนึง ไม่งั้นคนไม่ยกให้เขาเป็นRole model เเต่ศาสนาอิสลามไม่เคยมีประวัติสังคายนา อำนาจของศาสนาเลยไปตกอยู่ที่คนที่เอาคำสอนมาสั่งสอนคนอื่น เอามาบิดเบือน มโนสร้างกฏเกณฑ์บ้าๆบอๆ เอามาสร้างความมั่งคั่งให้ตัวเอง แล้วโยนขี้ไปกับอัลเลาะห์ กูเลยไม่โทษอัลเลาะห์ กูว่า Reputation แกเองก็คงพังเพราะพวกลูกศิษท์ลูกหา เหมือนที่หลวงพ่อคูณโดน

ถ้าสุดท้ายแล้วศาสนาไม่ได้เป็นที่พึ่งทางใจหรือทำให้เรารู้สึกดี? ศาสนาลดทอนความเป็นตัวของตัวเอง? แล้วจะมีศาสนาไว้เพื่ออะไร? สรุปแล้วคนมีศาสนาไว้เพื่อยึดเหนี่ยว หรือเป็นเครื่องช่วยให้รู้สึกอยู่ในcomfort zone จากการตัดสินของคนอื่น

คนที่เป็นมุสลิมจริงๆ เป็นเพราะศรัทธาในตัวศาสนา หรือเป็นเพราะให้เป็นที่ยอมรับของคนในครอบครัวหรือกลุ่มสังคมกันแน่

ศาสนาอิสลามที่กูโตมาคำสอนส่วนใหญ่มีแต่บังคับ ไม่เคย offer choices คุณต้องละหมาดวันละ 5 เวลา คุณต้องถือศีลอด ไม่ประพฤติตามคือบาป บาปแล้วไม่ได้บาปแค่คุณคนเดียว แต่บาปทั้งครอบครัว ซึ่งสำหรับกูมันคือ Religious propaganda มันเป็นอำนาจของการแสวงหาผลประโยชน์บนความรู้สึกผิดชอบชั่วดีของคนอื่น.. เดือนรอมฎอน ถ้าคุณอยู่ไทย คุณอดอาหาร 12 ชั่วโมง แต่ถ้าคุณอยู่นอร์เวย์คุณอดอาหาร 20 ชั่วโมง.. แล้วมาตรฐานมันอยู่ตรงไหน? ตราบใดที่ศาสนาอิสลามไม่สังคายนา บอกได้เลยว่าไม่ใช่ไสตล์กู กูไม่เคยไปชี้หน้าด่าใครว่าหยุดเป็นอิสลามนะ! หยุดละหมาดนะ! เพราะฉนั้นเค้าก็ต้องเคารพสิทธิส่วนตัวกูด้วย

การที่เราดีดตัวออกมาศาสนาเพื่อรักษาผลประโยชน์ส่วนตัวของเราเอง มันผิดหรอ?

กูเชื่อว่าถ้าอัลเลาะห์ได้มาHang out กับกู ท่านต้องชอบกู เพราะกูคิดว่ากูอาจจะดีกว่าหลายคนที่ต่อหน้าจงรักภักดีต่อท่านแบบสุดโต่ง

#Iammyself





ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น