ล็อคเป้า28กลุ่มป่วนใต้ แฉ2สถาบันกลางกรุงปั่นโซเชียลปลุกแนวร่วม
8
พ.ค.61 ที่ค่ายสิรินธร จ.ยะลา พ.อ.วัฒนา กรมขันธ์ รองผู้อำนวยการศูนย์สันติวิธี
กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค4 ส่วนหน้า(กอ.รมน.ภาค 4 สน.)
กล่าวถึงกรณีที่มีกระแสข่าวกำหนด อ.เจาะไอร้อง เป็นพื้นที่ปลอดภัยหรือเซฟตี้โซน
ว่า เป็นเพียงแนวคิดที่จะต้องมีอำเภอนำร่อง 1 อำเภอเพื่อสร้างความปลอดภัย
จึงคิดว่าน่าจะลองใช้พื้นที่ อ.เจาะไอร้อง เพื่อดูเหตุการณ์ก่อน
ส่วนการปฏิบัติยังคงใช้กำลังปกติ และกำลังจากภาคประชาชน ซึ่งต้องดูว่าจากนี้ไปอีก
6 เดือนจะมีอะไรเพิ่มเติมหรือไม่ โดยเริ่มตั้งแต่ปลายเดือน เม.ย. แบ่งเป็น 2 ช่วง คือ
3-6 เดือนแรก จะเป็นขั้นตอนการเตรียมพื้นที่ และช่วงหลัง6 เดือน
เป็นขั้นตอนนำไปสู่เป้าหมายการกำหนดเป็นพื้นที่ปลอดภัย
ทั้งนี้
แนวคิดกำหนด อ.เจาะไอร้อง เป็นพื้นที่เซฟตี้โซน
เราจะดูแลรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวดในทุกเรื่อง
เมื่อครบกรอบเวลาที่กำหนดจะเพิ่มเติมมาตรการต่างๆลงไปอย่างเต็มที่
ส่วนจะลดการก่อเหตุความรุนแรงเป็นศูนย์ได้หรือไม่นั้น
ต้องเข้าใจว่าพื้นที่ดังกล่าวกำหนดขึ้นเพื่อแสดงความไว้วางใจทั้ง 2 ฝ่าย
ในส่วนของรัฐจะต้องไม่นำกำลังทหารหรือดำเนินการใดๆ เพื่อก่อให้เกิดปัญหา
ในขณะที่กลุ่มผู้เห็นต่างจะต้องไม่ให้เกิดเหตุการณ์ใดๆด้วยเช่นกัน
ส่วนเหตุการณ์ทั่วไปต้องสามารถพิสูจน์ทราบได้
แม้ว่าจะมีแนวคิดให้ อ.เจาะไอร้อง เป็นพื้นที่เซฟตี้โซน
แต่การดูแลรักษาความปลอดภัยยังคงจำเป็นต้องอาศัย
พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ.2551 และ
พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 ถือเป็นคนละส่วนกัน
ทั้งนี้พื้นที่นำร่องจะมาจากการกำหนดของคณะพูดคุยเพื่อสันติสุขจังหวัดชายแดนภาคใต้เท่านั้น
ซึ่งต้องนำไปทดลองก่อน
อย่างไรก็ตาม
ยืนยันว่ากระบวนการพูดคุยอยู่ในขั้นตอนการสร้างความไว้วางใจ
รวมถึงประชาชนทุกหมู่เหล่า และขณะนี้มีกลุ่มผู้เห็นต่าง หลายกลุ่ม
ยืนยันว่าเป็นตัวจริง เสียงจริง สามารถควบคุมการปฏิบัติการในพื้นที่ได้
ซึ่งเรื่องดังกล่าวหากขยายเวลาการพูดคุยออกไป จะทำให้เราเห็นว่า กลุ่มไหน
เป็นตัวจริง กลุ่มไหนมีผลประโยชน์แอบแฝง ซึ่งยังต้องพิสูจน์กันต่อไป
ขณะที่
พ.อ.สุภกิจ รู้หลัด รอง ผอ.สำนักข่าว กอ.รมน. ภาค 4 สน. กล่าวว่า
สิ่งที่น่าเป็นห่วงในห้วงที่จะเข้าสู่โรดแมปที่ 3 ในขั้นตอนการสร้างสันติสุข
ที่ตั้งเป้าหมายไว้ในปี 2563 ถือเป็นช่วงรอยต่อ คือ
การที่ขบวนการก่อความไม่สงบจะใช้กลุ่มเครือข่ายเยาวชน
เพื่อกระจายข่าวผ่านโซเชียลมีเดีย ที่อาจขยายผลก่อความรุนแรง
“โดยการข่าวพบว่าใน กทม.มีเยาวชนใน 2 สถาบันการศึกษาที่ต้องเฝ้าระวัง
ใช้เป็นพื้นที่ปลุกระดมแนวร่วม และยังพบข้อมูลการโพสต์โซเชียลในเยาวชนในพื้นที่ 3
จังหวัดใช้ภาคใต้ หรือกลุ่ม PerMAS ซึ่งเป็น 1 ใน 28 กลุ่มเฝ้าระวัง
โดยต้องใช้ยุทธวิธีทางด้านการข่าวที่ไม่เปิดเผย เข้าไปสร้างความเข้าใจกับเยาวชน
เพราะไม่มีหลักฐานชี้ชัดในแง่ตัวบุคคลที่จะเรียกมาปรับทัศนคติ” พ.อ.สุภกิจ กล่าว
พ.อ.สุภกิจ
กล่าวต่อว่า ส่วนความเป็นห่วงที่กลุ่มไอเอส จะใช้ 3
จังหวัดชายแดนภาคใต้เพื่อขยายเครือข่ายนั้น ยืนยันว่าเป็นไปไม่ได้ เนื่องจากเป้าหมายกลุ่มไอเอส
คือ ตั้งรัฐอิสลาม และขณะนี้ก็มีการแบ่งแยกออกเป็นหลายกลุ่ม
ส่วนกรณีที่มีกระแสข่าวคนไทยในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้เข้าไปเกี่ยวข้องนั้น
จากการตรวจสอบพบว่าเป็นการโพสต์ในเฟซบุ๊กเท่านั้น
ยืนยันว่าประเทศไทยไม่ใช่พื้นที่สนับสนุน และไอเอสไม่มีโอกาสเข้ามามีอิทธิพลเหนือ
3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ได้ เนื่องจากเจ้าหน้าที่รัฐดูแลพื้นที่อย่างเข้มข้น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น